1 May 2012

ณ จุดเริ่มต้นของหนังสือ

เมษายน 2548

เช้าวันนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องและความว่างเปล่าของหัวสมอง เสียงจากปลายทางกล่าวซักถามผม 2 ถึง 3 คำถาม ผมกล่าวตอบ 2 ถึง 3 คำตอบ หลังจากวางหูไปได้ไม่นาน ผมรู้สึกว่าหัวอันว่างเปล่าของผมเริ่มถูกซุกด้วยก้อนความคิดมากมาย หัวใจของผมพองโตขึ้น พองโต... จนความรู้สึกของผมปิดมันไว้ไม่อยู่

ผมได้รับโอกาสและช่องทางดีๆ ลากไปยังชีวิตที่น่าจะมีความสุขในอนาคต เป็นเส้นทางสีขาวที่ดูสวยทั้งในยามหลับตาและลืมตา เส้นทางที่ผมเฝ้าฝันมานาน... เส้นทางที่ผมจะได้เริ่มต้นอาชีพนักเขียน และเผยงานเขียนที่ผมรักนั้นสักที

ผมสงสัยว่าทำไมผมถึงมีความสุขในงานเขียนอย่างนั้น?

ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวนักอ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน ทุกๆ ปี หนังสือในบ้านจะเพิ่มจำนวนขึ้นคล้ายการแบ่งตัวของอะมีบา ผมไม่รู้ว่าเปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่า แต่ในสายตาของเด็กตัวเล็กๆ ในตอนนั้น ผมหลงเข้าใจไปจริงๆ ว่า หนังสือให้สามารถให้กำเนิดหนังสือกันเองได้

ภายหลังจากการเติบโตขึ้น เวลาทั้งวันของผมหมดไปกับการนั่งมองหนังสือในตู้กระจกใหญ่ ผมได้แต่เอียงคอมองซ้ายที ขวาที และรับรู้ในที่สุดว่า ภายใต้ตู้กระจกข้างหน้านี้มีโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลกองพะเนินกันอยู่ อะมีบาของผมกำลังนอนเกยกันอยู่ในนั้นนั่นเอง

“บุคลากรในประเทศของเรายังอ่านหนังสือกันน้อยมาก” ผมได้ยินคำกล่าวอ้างเช่นนี้มานานหลายปีแล้วจนบางครั้งผมรู้สึกคล้อยตาม เพื่อนร่วมประเทศของผมอ่านหนังสือกันน้อยเกินไปจริงๆ หรือเปล่า? ทั้งที่พวกเขามีโอกาสและไม่มีโอกาส บางครั้งผมอดเผลอคิดไม่ได้ว่าประเทศของเราจะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อคนหลายคนยังไม่สนใจที่จะเปิดประตูตู้กระจกหลังนั้น...

...ผมเลือกที่จะเชื่อว่า โลกของเราหมุนเร็วด้วยแรงมือแห่งเทคโนโลยีและถูกทำให้กลมกลึงสวยงาม สมส่วน คล้ายกับการปั้นเครื่องปั้นดินเผา ด้วยอีกมือของศิลปะ ผมเลือกที่จะเชื่อว่า ผมสามารถทำให้โลกสวยงาม กลมกลึง สมส่วนได้ และผมมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าตามหลักวิทยาศาสตร์ ใครหลายคนเชื่อกันว่าดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกจะมีอยู่ดวงเดียว ที่คอยทำหน้าที่ทางธรรมชาติให้ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ดำเนินไปอย่างที่พวกเขารู้กัน

แต่ผมเลือกที่จะเชื่อว่า โลกมีดวงจันทร์พิเศษเพิ่มขึ้นอีก 2 ดวงที่ผมสามารถมองเห็นได้ คือดวงจันทร์เทคโนโลยี และดวงจันทร์ศิลปะ

มีขึ้น มีลง ตามแรงโน้มถ่วงของจิตใจ มีแรงดึงดูดระหว่างมวล... มนุษยชาติด้วยดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ มีเดือนเต็มดวง เดือนเสี้ยว และเดือนแรม คล้ายกับจะบอกว่ามนุษย์มีทั้งความสมบูรณ์ในทั้ง 2 ศาสตร์นี้ และไม่มี! มีความสุกสว่าง สกาวใส ในแต่ละวัน แต่ละช่วง แต่ละยุค แต่ละสมัย แตกต่างกัน แม้ว่าในช่วงนี้ดวงจันทร์ดวงที่ทำให้โลกหมุนแรงจะดูโดดเด่นและสุกสกาวมากกว่า... แต่ผมก็ยังเชื่อว่าดวงจันทร์อีกดวงที่ทำให้โลกกลมกลึงสวยงามก็ยังคงเผยแสงสว่างและทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุดอยู่

ไม่มีวันทิ้งกัน ขาดกันไม่ได้...

ลึกลงไป ผมเลือกที่จะหลงไหลส่วนหนึ่งของดวงจันทร์ศิลปะนั่นคือสะเก็ดดาวงานเขียนและงานวรรณกรรม ผมเลือกด้วยเหตุผลหนึ่งที่ว่า ผมขาดมันไม่ได้... อาจไม่ใช่เหตุผลที่ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ผมเชื่อว่างานศิลปะทุกแขนงย่อมช่วยประโลมโลก เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลก

อะมีบาของผมทิ้งโลกนี้ไปไม่ได้!

No comments: