21 September 2006

-: ยืนต้น :-

ยืนต้น

คืนหนึ่ง...
ฝนร่วงรด หยดสาด เป็นหยาดสาย
เสียงฟ้าร้อง ก้องกำจาย อยู่ครามครั่น
ฟ้าแลบเล่น เส้นร้าว พาดยาว-พลัน
มนุษย์คว้า สุริยัน ลงจุ่มโคลน

ความมืดหม่น หล่นมัว ลงทั่วฟ้า
เห็นดารา เรียงห้อย ขึ้นร้อยโหน
หยาดน้ำรด หยดน้ำหลาก กระชากโยน
มนุษย์ร้อง ก้องตะโกน แล้วถูกกลืน

ภาพโล่งเตียน เลี่ยนตา ขึ้นปรากฏ
ป่าเลือนลด หมดฝัน ไม่ทันฝืน
มนุษย์ลัก หักหั่น ทุกวันคืน
เหลือแต่ยืน ตอตาย อยู่ปลายไพร


เช้าสอง...
ป่ากลับ ปรับคืน สู่ผืนป่า?
ยืนต้น ตรงตา ให้มองได้?
แข็งขืน ยืนเด่น เห็นแต่ไกล?
มนุษย์เพียง ย้ายไว้ เข้าในเมือง?

กิ่งตึก เกลื่อนตา ระฟ้ากว้าง
ก่อสร้าง แผ่รากไกล โดยใช้เครื่อง
โตสูง ใหญ่สวย ด้วยฟันเฝือง
ต้นเขื่อง เรียงล้น จนสุดแปลง

อาทิตย์ไล้ ไออุ่น อรุณรุ่ง
ภาพเมืองกรุง เผยช่อ ขึ้นล้อแสง
ชีวิตต่อ ชีวิตตื่น ผืนฟ้าแจง
สุรีย์แจ้ง แสงเจิด เปิดฉากวัน

บุปผาโผล่ โล้ลม ชมผืนฟ้า
หมู่นกกา ขยับยืน ตื่นจากฝัน
ดาวเดือนส่ง ลงฟ้า ลาตะวัน
น้ำค้างกลั่น ประกายทอง ละอองไอ

แมลงปอ ล้อขยับ จับปลายหญ้า
กิ่งตึก แกว่งกายา โล้ลมไหว
ไอป่าโปรย โชยกรุ่น ละมุนละไม
มนุษย์ไส ตะวันพ้น ก้นบ่อโคลน


18 September 2006

-: โลกหมุนรอบตัวเองบนเศษกระดาษ :-

โลกหมุนรอบตัวเองบนเศษกระดาษ

รูปภาพโดย Corey Allen
“ถ้าวันหนึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ บังเอิญไปแอบนอนหลับอยู่ใต้กิ่งของต้นอโศกแล้วถูกผีเวตาลตกใส่หัวจนค้นพบทฤษฎีแหกคอกความเชื่อของมนุษย์ว่าผีก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูดเหมือนกัน”

“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เกิด โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก” อีริคกล่าวขึ้นเพื่อทำลายกลุ่มก้อนความเงียบ ที่ปกคลุมโต๊ะอาหาร ไฟสลัว ส่งแสงฉายจับทุกรายละเอียดของความมืด สม่ำเสมอทั่วกันภายในบริเวณร้าน อาจจะแตกต่างไม่กี่มากน้อยตรงบริเวณกลุ่มนักดนตรีที่กำลังบรรเลงความทุ้มสลับแหลมคมของเพลงแจ็สบนเวที ถัดจากโต๊ะของทั้งคู่ไปไม่ไกลนัก

“เรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้!” เขากล่าวยืนยันความหนักแน่นในเนื้อความของกลุ่มคำพูดแรกที่เพิ่งจะโปรยออกจากปากของเขาไป อาจเนื่องจากเกรงว่าความน่าเชื่อถือจะถูกลดหย่อนลงไปด้วยความพริ้วไหวของดนตรีสร้างสรรค์ไร้ขอบเขตที่แว่วมาจากบนเวที
“เมื่อก่อนก็ไม่เคยมีใครเชื่อกาลิเลโอว่าโลกแบนๆ จะแปลงร่างเป็นผลส้มแป้นกลมเกือบกลึง จนศิษย์เอกอย่างโคลัมบัสเดินทางออกทะเล จนพิสูจน์ความแป้นของผลโลกได้ ใช่ไหม? แล้วคราวที่ไม่มีใครเชื่อว่าสองพี่น้องตระกูลไรท์จะทำให้วัตถุที่หนักกว่าอากาศลอยละลิ่วได้อย่างกับนก ก็เพราะตอนนั้นเรื่องไร้สาระแบบนี้ มันพิสูจน์ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ หรือเรื่องแบบนั้นมันไม่น่าจะเกิดขึ้น หืม! น่าสงสารนักวิทยาศาสตร์หน้าแตกเหล่านั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าโดนเศษหน้า บาดหน้าไปกี่แผลแล้ว” ผมหัวเราะเสียงดังขึ้นเจือจางรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าอีริค ไปจนเกือบหมด

บทสนทนาเกิดขึ้นในร้านอาหารกึ่งผับชื่อดังย่านอโศก ที่แห่งนี้เป็นที่ประจำที่ผมกับอีริคนักวิทยาศาสตร์ปริญญาโทหนุ่มไฟแรง ผู้บูชาทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ และสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสร้างผลงานวิจัยเพื่อเลื่อนระดับตำแหน่งทางวิชาการของตัวเองไปเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาจดูแตกต่างเล็กน้อยกับผม... ครีเอทีฟธรรมดาๆ ที่กระตุ้นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งใดที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ นั่นอาจจะไม่ได้เป็นข้อกำหนดเพื่อระลึกเตือนใจว่าสิ่งนั่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นบนขอบเขตของจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ได้อย่างแน่นอน ผมอาจจะมีฐานะทางสังคมเทียบเท่าอะไรกับอีริคไม่ได้แม้แต่น้อย หลายครั้งผมพยายามแต่งตั้งตัวเองให้เป็นเพื่อนผู้ช่วยประธานบริษัท รองผู้ช่วยฝ่ายวางแผนโฆษณา แต่ก็ไม่รู้จะแต่งตั้งไปทำไมในเมื่อมันก็คือไอ้ผู้ช่วย! ที่ต้องคอยช่วยงานหัวหน้าไปวันๆ จนกว่าเจ้านายจะเห็นแววนั่นเอง หรือตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์จะโก้เก๋กว่าจริงๆ? (ผมเคยได้ยินมาว่านักวิทยาศาสตร์ กับครีเอทีฟก็คือบุคคลช่างคิด ช่างสงสัยเหมือนกันทั้งคู่ และต่างต้องคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ที่ตนเองสงสัย เพียงแต่โจทย์ ผลลัพธ์ และวิธีการคิดค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกที่ภูเขาลูกหนึ่งเกิดจากการชนกันของแผ่นดินดันโป่งปูดขึ้นเป็นภูเขา กับอีกลูกที่แผ่นดินยุบลดหลั่นกันกลายเป็นเหว แต่มันก็เป็นภูเขาบนพื้นโลกทั้งคู่ไม่ใช่หรือ?)

ผมกับอีริคบังเอิญพบ และสนิมสนมกันที่ผับแห่งนี้ โดยเราทั้งคู่ต่างมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ในเรื่องของการถกเถียง และยกเหตุผล ข้อมูล หรือแนวความคิดขึ้นมาอ้างใส่กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันในเรื่องราว หรือเหตุการณ์หนึ่งๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเอง จนบางครั้งหลายคนรอบข้างคู่หูเพื่อนซี้ 2 คนนี้ หากไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแล้ว เกือบแทบจะทุกเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ตั้งแต่การเมืองยันเรื่องชาวบ้าน คงอาจจะไม่แปลกใจถึงการต่อล้อต่อเถียงส่งเสียงดังนี้ ว่าคือการก่อวิวาท
น่าสงสัยก็เพียงแต่... มิตรภาพของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยจะมีความคิดเห็นตรงกัน
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องสนุกระหว่างเราสองคนเกิดขึ้น และดำเนินไป…

“ไม่แน่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ผี, มนุษย์ต่างดาว, ไสยศาสตร์-มนต์ดำ, ชีวิตหลังความตาย, ศาสนา-ความเชื่อ, นรก-สวรรค์ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปก็ได้ ถ้าวันหนึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ บังเอิญไปแอบนอนหลับอยู่ใต้กิ่งของต้นอโศกแล้วถูกผีเวตาลตกใส่หัวจนค้นพบทฤษฎีแหกคอกความเชื่อของมนุษย์ว่าผีก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูดเหมือนกัน เชื่อผมสิอีริค ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ แม้จะไม่มีสิ่งใดมาพิสูจน์ มันน่าตื่นเต้นไม่ใช่เหรอที่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เป็นปริศนา ให้ขบให้คิด ไม่งั้นเราก็รู้ทุกอย่าง น่าเบื่อแย่”
“ถึงตอนนั้นอย่ามายืมหนังสือตำราฟิสิกส์มนต์ดำ หรือพวกชีววิญญาโณเทคโนโลยีของผมละกันนะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะลงลูกคอเอิ๊กๆ ตามจังหวะของท่วงทำนองเพลงแจ็สที่บรรเลงอยู่ด้วยความบังเอิญ บังเอิญอย่างที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้

ผมเคยบอกกับอีริคว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ตัวดีที่เข้ามาสร้างกฎกรอบให้กับความคิดและการดำรงชีวิตประจำวัน มันเที่ยวบังคับขู่เข็นให้ใครๆ คอยเชื่อ และเคลิ้มตามไปกับความหนักแน่นของข้อมูล และหลักฐานมากมาย เยอะจนมี 12 ตาก็เก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ
“มนุษย์มี 12 ตาไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์มองโลกแบบ 3 มิติ ซึ่งจำนวนการรับภาพด้วยดวงตา 2 ดวงนั้นเพียงพอแล้ว” อีริคกล่าวอย่างกัดกวน

อีริคเคยบอกกับผมว่าวิทยาศาสตร์แฟงตัวอยู่ในทุกซอกหลืบของทุกสิ่งทุกอย่าง สวยงามคล้ายกับการที่ผมยืนยันถึงการดำรงอยู่ของศิลปะแขนงต่างๆ ทั่วทุกอณูของทุกสรรพสิ่ง หากเปรียบเทียบศิลปะกับความไร้ขอบเขต วิทยาศาสตร์ก็คงเป็นขอบฝั่งที่ช่วยพยุงไม่ให้มนุษย์จมน้ำตาย ช่วยเปิดหูเปิดตา พาคนให้พ้นขึ้นมาจากความไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้... ความน่าหลงใหลในศาสตร์ของ Science อยู่ที่การจะเปิดโลกมุมใหม่ให้กับเรื่องทุกเรื่อง ยืนยัน และหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ เพื่อที่จะหยุดความโง่เขลา และความเชื่อในสิ่งที่ไม่มีตัวตน แน่นอนหล่ะว่าถ้ามนุษย์ฉลาดขึ้น โลกก็ย่อมจะพัฒนามากขึ้น
“พัฒนาจนมนุษย์มี 12 ตาไม่ได้เหรอ?” ผมถาม....

“อย่างเรื่องใกล้ๆ ตัวเลยนะอีริค ไม่น่าแปลกหรือที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ความลึกลับของกลุ่มก้อนพลังงาน ภาวะการดำรงอยู่ของจิต ภาพหลอน ผี วิญญาณ หรืออะไรก็ตามแต่ที่วิทยาศาสตร์นิยมที่จะเรียกกันนั่นแหล่ะ ทั้งๆ ที่เรื่องราวเหล่านี้กับวนเวียนอยู่ในสังคมทุกๆ ชนชาติ จนทำให้เกิดเป็นหนังดังทำเงินดีของ Hollywood มาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว นี่ขนาดสังคมอเมริกันที่ไม่บูชาผีอย่างออกนอกหน้าเหมือนเรานะเนี่ย! ไม่น่าแปลกเหรอที่เรื่องราวเหล่านี้ต้องน่าจะเคยผ่านหูผ่านตา มนุษย์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์บนโลกแป้นๆ ใบนี้ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่มีจริงในโลก? บางทีเรากับพวกผีอาจจะสนิทชิดเชื้อกันจนแทบจะ เดินสวนไหล่กันเลยก็ได้ เพียงแต่พวกเขาไม่บอกว่าเขาเป็นผี?”

ผมมองขึ้นไปตามร่องลึกบนใบหน้าของอีริค พักนี้เขาดูแก่ลงไปมากคงเป็นเพราะเหนื่อยกับอยู่กับการเร่งงานวิจัยชิ้นสำคัญอยู่ “คิดเล่นๆ ว่าหมามันสามารถมองได้ในระบบสองมิติ แล้วมนุษย์มองได้ในระบบสามมิติอย่างที่คุณบอก เวลามีลูกบอลเด้งเขาหาหน้าหมา มันก็จะเห็นเป็นจุดที่มีรัศมีเล็กๆ แล้วแผ่รัศมีกว้างขึ้น เมื่อลูกบอลพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้น หมามันไม่เห็นความลึกของวัตถุ ยิ่งสีสันยิ่งแล้วใหญ่ มันก็อาจจะตกใจว่าลูกบอลคือจุดบ้าอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ผีอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้แหล่ะ แต่อาจจะอยู่ในระบบ 10 มิติ ที่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ หรือรู้แล้วแต่ประสาทสัมผัสเท่าที่มนุษย์มีมันด้อยเกินกว่าจะรับรู้ได้ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าผีเป็นสัตว์ที่ออกหากินกลางคืน พอเวลาเกิดหิวขึ้นมา ก็เดินผ่านเราไปหาอาหารกินที่ข้างป่าช้า เพราะแร่ธาตุมันเยอะดี กินแล้วอิ่มอร่อย แล้วคนก็เผลอไปเห็นแว่บๆ ในบางมิติที่เราสามารถรับรู้ได้ หรือบางทีคนตกใจผี... ก็เหมือนหมาที่ตกใจจุดลูกบอล?” ผมลองออกความเห็นที่อีริคคงจะตอกกลับมาได้ว่าเป็นแนวความคิดสยองขวัญสั่นประสาทส่วนกลาง และดูเหมือนผมจะคิดไม่ผิด

“น่าเอาไปทำหนังนะ เพ้อฝันมากคุณนี่! ผีมันเป็นเพียงแค่ความเชื่อแบบปากต่อปาก ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มคน ในสังคมไม่กี่สังคม เรื่องที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้วิ่งกระจายเร็วนักในสังคมที่ยังขาดความเจริญ และความไม่มั่นคงทางภาวะของจิตใจ มันก็แค่เรื่องที่จะทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกเกิดคำถามว่าเขาเกิดมาทำไม? จึงหันหน้าไปพึ่งความเชื่อ ศาสนา อะไรพวกนั้น! และยิ่งภาวะของสมองคิดจริงจังจนเชื่อไปทั้งใจแบบนั้นด้วยแล้ว พอช่วงเวลา สถานที่ หรือเหตุการณ์เป็นใจเข้านิดหน่อย ก็ตีโพยตีพายว่า กูถูกผีหลอก! กูเห็นผี! อะไรอย่างนั้นถมเถไป”

“จะว่าไปแล้ว คุณอย่าหาว่าผมเป็นคนเถื่อน คนนอกศาสนาอะไรแบบนั้นเลยนะ ผมเพียงหมดศรัทธากับศาสนาพุทธในบ้านเราเท่านั้นเอง พูดกันโครมๆ ว่าเราเป็นคนพุทธแต่ไม่ยักกะเข้าวัดทำบุญ แค่ศิล 5 ข้อยังรักษากันไม่ได้เลย แต่ดันไปออกกฎหมายกันเป็นเล่มๆ หลงเชื่อในเรื่องผี บูชารูปเคารพ ห้อยพระเครื่องเต็มคอ แห่กันไปกราบไหว้ไอ้ที่เขานิยมเรียกกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่แค่ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ละเลยกันแล้ว ความจริงผม และเพื่อนๆ ที่มหาลัยที่เป็นคนตะวันตกหลายคน นับถือพระพุทธองค์ท่านเป็นอาจารย์ของสาขาวิทยาศาสตร์เลยนะ ที่ท่านให้ตั้งสมมุติฐานหาเหตุ ให้ทำการทดลองหาผล และเตือนให้อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าไม่ได้รับการพิสูจน์ก่อน1 แม้แต่อย่าเชื่อในตัวของพระพุทธเจ้าท่านเอง จนกว่าเราจะได้ปฏิบัติ และเห็นผลของมันด้วยตัวเองจริงๆ แต่ที่เมืองไทยนี่มันศาสนาพุทธตรงไหนผมยังดูไม่ออก เห็นทีวันหลังจะต้องลองวิจัยดู” อีริคตัดพ้อ ซึ่งมันก็เป็นความจริง ผมได้แต่ยิ้มยอมรับอย่างอายๆ

“จริงอยู่ที่ ณ เวลาปัจจุบัน วิทยาศาสตร์อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผีมีจริงหรือไม่! อันนี้ผมยอมรับ แต่ทางกลับกันปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าผี ปีศาจ อะไรเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในสมองของมนุษย์ที่อ้างว่าเคยพบเคยเจอ วิทยาศาสตร์สามารถยกข้อพิสูจน์ง่ายๆ ว่าผีไม่มีในโลกแน่นอน!”
“แล้วนอกโลกหล่ะ?” ผมถาม อีริคสะดุ้งก่อนจะพูดต่อไป
“การที่มนุษย์เราเห็นผี ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ มักจะเห็นในเวลากลางคืน และในที่เปลี่ยวๆ น้อยคนนักที่จะร้องโวยวายตีโพยตีพายกลางสยามสแควร์ตอนกลางวันแสกๆ ว่าผีหลอกโว้ย!! นอกจากจะตกใจในสินค้าราคาแสนแพง หรือพวกที่อยู่ในจังหวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เรื่องเหล่านี่วิทยาศาสตร์อธิบายได้อย่างง่ายๆ ว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถพิเศษ ที่คนเรายังรีดเฟ้นเอาออกมาใช้ได้ไม่เต็มที่ แต่ในช่วงภาวะที่ร่างกายหลั่งเคมีบางชนิด ในภาวะความกลัวสุดขีด สมองสามารถขยับพลังการทำงานขึ้นมาได้จากเดิม สร้างภาพจินตนาการเหมือนจริงขึ้นมาเป็นรูปร่างคน เป็นผี ปีศาจได้ตามที่เรากำลังวิตกกังวลอยู่ได้อย่างง่ายดาย เหมือนของจริงเสียอย่างกับผีหลอก!”
“แม้แต่ลมพัด หมาหอนหาคู่ ส่งข่าวกันตามอัธยาศัย ก็เพราะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มนุษย์จับโยงเข้ากับเรื่องผี เรื่องสางได้อย่างแนบเนียน อย่าดูถูกความสามารถของสมองมนุษย์นะเพื่อน! ผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าถ้าผีมีอยู่จริง มหานครลอนดอนก็สามารถวางอยู่บนฝ่ามือของผมได้สบายๆ...”
“แล้วไม่หนักมือแย่เหรอ?” ผมถาม
อีริคสะดุ้ง!!

เสียงเพลง The Prettiest Thing ของ Norah Jones ดังเอื่อยนุ่ม ละมุนฟุ้งคล้ายกับกำลังปลิวไปในสายลม ใครหลายคนคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นนี้


The prettiest thing
I ever did see
Was lightening from the top of a cloud
Moving through the dark a million miles an hour
With somewhere to be

So why does it seem
Like a picture
Hanging up on someone else's wall
Lately I haven't been myself at all
It's heavy on my mind

I'm dreaming again
Like I've always been
And way down low I know


บรรยากาศภายในร้านวันนี้ดูซึมหงอยคล้ายเหม่อลอยตามเสียงครางเศร้าของนักร้อง หลายคืนมานี้ตำแหน่งมุมห้องตรงโต๊ะประจำของผมกับอีริค ดูเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง
เสียงเพลงในวันนี้อาจจะดังขึ้นในข้อสังเกตของเพื่อนร่วมร้าน หากแต่มันยังคงดังเท่าเดิม ไม่มีใครเผลอ หรือเล่นซนแอบไปปรับเอาเสียงของลำโพง โต๊ะตรงมุมห้องกับผมช่วยกันถอนหายใจเล่นตามจังหวะเสียงดนตรี เหนื่อยนักก็พักหายใจตามปรกติ อีริคไม่มาร่วมดื่มกับผมอีกแล้วในคืนนี้ หลายอาทิตย์เข้าไปแล้วที่ตำแหน่งคนตรงข้ามผมว่างเปล่า เก้าอี้แอบถอนหายใจเล่นอีกครั้ง เสียงดนตรีคงรู้สึกเหมือนตัวเองดังขึ้นเพราะขาดเสียงต่อล้อต่อเถียงโหวกเหวกโวยวายระหว่างผมกับอีริคที่เข้าแข่งด้วยอีกคืน
ป่านนี้เขาคงกำลังง่วนกับงานวิจัยของเขาอยู่ ผมก็ได้แต่แอบลุ้นว่าจะได้ครองตำแหน่งเพื่อนผู้ช่วยศาสตราจารย์ในไม่ช้า

อีริคเคยเล่าให้ฟังถึงข้อสมมุติฐานที่เขาจะต้องพิสูจน์เพื่อเขียนรายงานวิจัยออกเผยแพร่ตีพิมพ์ เผื่อยกระดับตำแหน่งทางวิชาการของเขาให้เขยิบสูงขึ้นอย่างที่เขามักจะพูดให้ฟังบ่อยครั้ง เขาเหลือแต่งานวิจัยชิ้นนี้อย่างเดียวแล้วในตอนนี้ที่จะเป็นตัวตัดสินผลคะแนนที่จะขยับฝันของเขา และแน่นอนว่านอกจากการได้ทำตามความฝันส่วนตัวแล้ว โอกาสทางหน้าที่การงาน และเงินทองที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองที่เป็นตัวผลักดันให้เขาทุ่มเทกับงานวิจัยในครั้งนี้อย่างมาก และนี้ก็เคยเป็นประเด็นในการเล่นล้อต่อเติมเสริมขัดระหว่างผมกับอีริคอยู่หลายครั้งเช่นเดียวกัน
“เงินทองไม่มีผลอะไรกับชีวิตหรอก ถ้าเราได้อยู่ใกล้ความฝัน” ผมกล่าวขึ้นกับอีริคในคืนวันหนึ่ง
“มนุษย์เราไม่เคยรู้จักพอหรอก... เมื่อเราได้สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจมาครองแล้ว เดี๋ยวมันก็มีสิ่งอื่นเข้ามาให้เราตามคว้าอีกแน่นอน” อีริคแย้ง แล้วย้อนขึ้น
“คุณจำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหม? คุณบ่นให้ผมฟังว่า คุณอยากจะเป็นนักคิด นักเขียน ให้ได้ในสักวันหนึ่ง มันเป็นความฝันของคุณใช่ไหม? แล้ววันนี้คุณมีโอกาสได้เข้าไปทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา... อย่าเถียงผมนะว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับการได้คิดๆ ขีดๆ เขียนๆ ของคุณ แล้วหลังจากนั้นไม่นานคุณก็เล่าให้ผมฟังว่าคุณมีความฝันจะเปิดบริษัทของตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรหรอก ผมเองก็เป็น... เชื่อสิใครๆ ทั้งโลกก็เป็น ซึ่งหากเราจะเรียกมันให้หอมหวานกว่าคำว่าไม่รู้จักพอเสียหน่อย”
“มันก็คือความทะเยอทะยานของมนุษย์นี้เอง” อีริคยิ้ม
“แต่ว่า! ...” ผมเริ่มต้นการเถียงเพื่อหาข้อมูลอื่นมาหักล้างตามนิสัย ทั้งๆ ที่ผมก็เห็นด้วยอย่างเต็มเปา
ปากกำลังเถียง แต่ใจของผมกับอีริคกำลังยิ้ม!!!

งานวิจัยของอีริคเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกมนุษย์อยู่ อีริคเล่าให้ฟังว่าตามปรกติแล้วอากาศที่อยู่รอบๆ ตัวเราสูงขึ้นไปจนท่วมถึงท้องฟ้า เราจะเรียกกันว่าชั้นบรรยากาศ มีส่วนผสมเป็นไอน้ำ และกลุ่มก๊าซหลายชนิด ส่วนผสมที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ ก็ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป เช่นบริเวณติดทะเลก็จะมีไอน้ำผสมอยู่มาก ทำให้เกิดฝนตกบ่อยครั้ง อากาศบนยอดเขามีส่วนผสมของออกซิเจนเบาบาง การผสมกันของส่วนผสมต่างๆ ในหลายที่ก็ก่อให้เกิดอากาศเสีย

นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ชั้นโทรโพสเฟียร์สูงจากพื้นดินไปประมาณ 10 – 12 ก.ม. ชั้นนี้อีริคบอกว่าเป็นชั้นที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมาย เช่นพายุ แดดออก มืดหมอก ฝนตก หมูสามหาง ช้างหกหู ต้นชมพู่ออกลูกเป็นลิง อันหลังๆ นี่ผมเติมเอาเองเพราะเดาเอาว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และความเชื่อบ้างไม่มากก็น้อย จากการที่ได้พบเห็นเพื่อมนุษย์แห่นางแมวขอฝน หรือปักตะใคร้ไล่ฝน บังคับข่มขู่ธรรมชาติได้สำเร็จเป็นว่าเล่น ชั้นนี้อีริคว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว
ชั้นที่สองชื่อชั้นสตราโทสเฟียร์สูงจากพื้นดิน 50 – 55 ก.ม. ชั้นนี้ที่ช่วยในการดูดซับแสงอัลตร้าไวโอเล็ต โดยชั้นนี้มีส่วนผสมของโอโซนอยู่ด้วย ชั้นนี้อีริคว่ายิ่งสูงยิ่งร้อน
ชั้นที่สามสูงขึ้นไปจากพื้นดิน 85 ก.ม. ชื่อเมโซสเฟียร์ ชั้นนี้หักมุมอีกแล้ว เพราะอีริคบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวอีกครั้ง

ชั้นสุดท้ายคือชั้นเทอร์มอสเฟียร์ ชั้นนี้มีประจุไฟฟ้าวิ่งเล่นกันสนุกสนาน อีริคบอกว่าชั้นนี้ใช้ในการสื่อสารเพราะสามารถสะท้อนคลื่นวิทยุคลื่นสั้นได้ ทำให้รู้ว่าบรรยากาศชั้นนี้นาทีละ 3 บาท น่าแปลกใจอีกครั้งที่ชั้นนี้ยิ่งสูงยิ่งร้อน น่าสงสารมนุษย์อวกาศ และมนุษย์ต่างดาว ต้องมารู้จักกับชั้นบรรยากาศขี้โลเลเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว จะเข้าออกโลกแต่ละทีคงจับไข้กันจนเหนื่อย

“ผมเชื่อว่าในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มเราอยู่นี้ น่าจะมีส่วนผสมของอะไรสักอย่างที่ทำให้มนุษย์ในแต่ละมุมโลกคิดเห็นแตกต่างกัน เคมีจากชั้นบรรยากาศน่าจะมีผลกระทบโดยตรงกับเคมีในร่างกาย ทำให้มนุษย์มีพละกำลัง สภาพร่างกาย ระบบความคิด ความเชื่อที่ออกไปในแนวทางที่แตกต่างกันในต่างบริเวณ และคล้ายคลึงกันในมนุษย์ที่อยู่ร่วมบริเวณใกล้ๆ กัน... และนี้คือหน้าที่ของผมที่ต้องค้นคว้า และพิสูจน์มัน” อีริคมีท่าทีแววตามุ่งมั่นเมื่อเล่าจบ มุ่งมั่นจนคราวนี้ผมไม่กล้าเอ่ยเถียง


ผมนั่งอยู่กับความเงียบภายในใจตัวเองครู่ใหญ่ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมรู้สึกว่าโลกหมุนช้าลงไปมาก ผมใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าจะเช้าตรู่ จะตกเย็นไปทำไม ปัญหานี้คงเป็นปัญหาโลกแตกยิ่งกว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันของมนุษย์หลายคน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องตาย ทำงานหนักเก็บเงินกันแทบตายพอแก่ตัวลงกำลังจะได้เอาเงินที่หาได้มาใช้ ก็ดันแก่ตายไปเสียก่อน นี่ยังไม่นับไอ้พวกที่ชิงหมาตายไปตั้งแต่ยังไม่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง แล้วเราจะอยู่ไปบนโลกนี้เพื่ออะไรกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหงา...

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกผมขึ้นจากความเหงา “อีริคโทรมานี่!!” ความตื่นเต้น และดีใจวิ่งถาโถมเข้าใส่สุดกำลัง
“คุณอยู่ที่ร้านใช่ไหม? เป็นไงบ้างไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว” เสียงอีริคลอยออกมาจากโทรศัพท์
“ใช่! ผมนั่งดื่มคนเดียวมาหลายวันแล้ว เหงาหว่ะ! แล้วคุณหล่ะ งานวิจัยชิ้นเอกไปถึงไหนแล้ว ว่าที่เจ้าของรางวัลโนเบล…” ผมแกล้งกระเซ้าเสียงระรื่น แต่เสียงอีริคกับกลายเป็นตรงกันข้าม
“แค่อิคโนเบล2 ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้หรือเปล่า? งานวิจัยไม่คืบหน้าเลยทั้งๆ ที่ผมพยายามเต็มที่แล้วกำหนดต้องส่งก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมเหนื่อยเหลือเกิน ท้อก็ท้อ ผมไม่ไหวแล้ว...” อีริคปล่อยโฮออกมา ทำเอาผมใจเสียไปด้วย
“เดี๋ยวผมไปหาคุณละกันที่มหาฯลัยละกัน ใจเย็นๆ!”

โต๊ะทำงานของอีริคตั้งอยู่ในห้องทดลองคณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมาถึงห้องทดลองเร็วกว่าที่คาดไว้คงเพราะเป็นช่วงกลางดึกที่รถบนถนนเบาบางลงไปมากแล้ว เช่นเดียวกับที่นี่ที่เงียบ และมืดปราศจากผู้คน ภายในห้องอีริคในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังนั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงาน กองหนังสือกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณห้องทดลอง อุปกรณ์หลายชิ้นกำลังส่งเสียงดังกระหึ่ม สภาพอีริคดูแย่ลงไปมากนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน ผมเคาะประตูที่เปิดอ้าอยู่นั้นเบาๆ เพื่อเรียกอีริคขึ้นมาจากการฟุบโต๊ะ

อีริคเงยหน้าขึ้นมา หน้าตาของเขาดูซีดเซียวคล้ายคนป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างแต่กำลังอยู่ในช่วงระยะสุดท้าย เขาเรียกให้ผมนั่ง หลังจากกล่าวทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันและกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีริคก็เริ่มกล่าวเสียงเครือขึ้น
“ผมคิดอะไรไม่ออกเลยจริง ทั้งๆ ที่ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนะ ผมมีความสุข และหวังกับงานนี้มาก แต่ดูเหมือนความสุขกับความหวังจะไม่ช่วยอะไรผมเลย ทุกอย่างในหัวผมเหมือนหยุดทำงาน ไม่พบแนวคิด หรือข้อพิสูจน์ใหม่ๆ มารองรับสมมติฐานของผมสักที”
“…” ผมได้แต่นั่งอึ้ง รู้สึกอึดอัดไปพร้อมๆ กับอีริค ทั้งที่อยากช่วยเขาใจแทบขาด แต่ปัญญาอย่างผมคงคิดได้แต่เรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝัน จะเอาอะไรเป็นการเป็นงานจริงจัง แบบหลักวิทยาศาสตร์คงไม่ได้
“กินเบียร์กันก่อนคืนนี้ ผมซื้อเอาไว้แล้วอยู่ในรถ ไปนั่งดื่มข้างล่างกัน ถือว่าพักผ่อนนะอีริค”
คืนนั้นเรา 2 คนเมาอย่างไม่เคยเมามาก่อน ท่ามกลางเสียงเงียบของกลางดึก ยังหลงเหลือเพียงเสียงของคนเมา 2 คน ถ้าใครผ่านไปแถวถนนปทุมวันคืนนั้นจะพบคนเมาคล้ายคนบ้า 2 คนกอดคอกันหัวเราะ ร้องไห้ ร้องเพลงเดินโซเซไปมาข้างถนน …

เช้าวันต่อมาผมลืมตาตื่นขึ้น ร่างกายยังไม่พร้อมจะลุกออกจากเตียง จึงนอนจมร่างกายเอาไว้แบบนั้น ในหัวสมองของผมรู้สึกตื้อ และความรู้สึกอึดอัดด้วยโรคไข้อีริคเป็นพิษจุกอกรกสมอง ผมนอนก่ายหน้าผาก ฝ่ามือเหม็นเบียร์เหล้าเคล้าบุหรี่ ที่ทิ้งกลิ่นไว้ยังไม่ได้ชำระล้างตั้งแต่เมื่อคืนเหวี่ยงไปโดนตุ๊กตาหมีที่แฟนสาวของผมให้มาในวันวาเลนไทน์เมื่อสองปีที่แล้ว ภาพความทรงจำลอยหวนกลับมาสู่สมองของผมอีกครั้ง กลิ่นไอความหวานละมุนละไมฟุ้งกระจายเต็มห้อง ผมกดรีโมทเปิดเครื่องเสียงเพื่อค้นหาเพลงโปรด เสียงเพลงครางแผ่วเบา แต่หนักแน่นจากเครื่องเสียงคุณภาพดี จนทำให้แรงหัวใจเต้นกระแทกมาถึงภายนอกจนรู้สึกได้ ถ้าผมกับเธอยังคงได้อยู่ด้วยกันวันนี้คงเข้าปีที่ 8 สำหรับความรักของเราสองคน น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเพียงผมนอนซมอยู่บนเตียงภายในห้อง ความรักระทมชื่นชมไม่ได้ แต่ความรู้สึกดีๆ ภายในหัวใจไม่เคยเลือนหาย และยิ่งกลับชัดแจ้งกว่าเดิมคล้ายเธอยังคงนอนอยู่เคียงข้างกัน มีใครจะรู้บ้างไหมตอนนี้ผมคิดถึงเธอสุดขั้วหัวใจ!
เสียงเพลงดีๆ ที่เราสองคนเคยฟังด้วยกัน กลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเธอที่ผมมักจะซื้อติดห้องเอาไว้หลังจากวันที่เราจากกันลอยหอมแผ่วเบาอยู่ภายในห้อง ทำเอาผมขนลุก น้ำตาเอ่อล้นท่วมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนหน้านี้ผมเป็นเพียงมนุษย์เพศชายโสดเดินดิน ใช้ชีวิตอยู่กินไปวันๆ โดดงาน เปลี่ยนงาน ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย บ้านรกอย่างกับรังหนู กองจานพูน เสื้อผ้าไม่ได้ซักกระจัดกระจาย แต่ก็มีเธอนี่แหล่ะที่เข้ามาทำให้ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เธอตายเพราะอุบัติเหตุเมื่อกลางปีที่ผ่านมา วันที่ผมซมซานเข้าหาร้านเหล้า และเป็นวันที่ผมพบกับอีริคครั้งแรก....
มีใครจะรู้บ้างไหมตอนนี้ผมคิดถึงเธอสุดขั้วหัวใจ!

“เหล้ามันก็มีความสามารถเต็มที่แค่ทำให้คุณเมา! ส่วนเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้คุณนั่งร้องไห้ เมาเป็นหมาอยู่อย่างนี้เนี่ย มันอยู่ที่คุณเองที่จะมีความสามารถทำให้ลืมได้หรือเปล่า?” อีริคเป็นคนเดียวท่ามกลางสังคมแห่งความเหนียมอาย และความเป็นส่วนตัวที่กล้าเดินเข้ามาปลอบใจ แกมหลอกด่าผมในคืนนั้น
“คุณอย่ามายุ่ง! ผมเมาก็เพราะผมอยากเมา ไม่ได้เสียใจห่าเหวอะไรทั้งนั้น!”
“งั้นคุณก็เลิกกินเหล้าเถอะ กินเยอะจนมันไหลปริ่มๆ ออกมาจากตาแล้วนั่น… ไม่ได้ห่วงห่าเหวอะไรหรอกนะ เสียดายหว่ะ เหล้ามันแพง!” มือซ้ายของผมขยับขึ้นปาดน้ำตา อีกมือขยับคว้าคอเสื้อเพื่อจะหาเรื่องใครตรงหน้าไม่รู้ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยแรงโทสะ และรู้สึกเสียหน้า
“แหน่ะๆ จะเอาเสื้อผมไปเช็ดน้ำตาอีกแล้ว ไม่เอาหน่า... มีอะไรลองเล่าให้ผมฟังดูก่อนไหม? เล่าเสร็จแล้วผมจะถวายแก้มขวาให้คุณเอาหมัดไปวางเล่นได้เลยเต็มที่ ผมไม่หวง!” เขายังคงกวนอารมณ์จนผมรำคาญเลิกโมโหเสียดีกว่า
“ผมชื่ออีริค…” อีริคยื่นมือมาให้จับเขย่าทักทายตามแบบฝรั่ง สิ้นสุดการเขย่าแบบฝรั่ง ผมก็ขยับเขยิบแบบคนไทยค่อยๆ เลื่อนตัวเขาหาเขา แล้วเริ่มพร่ำบ่นอย่างคนเมาๆ

จนมาถึงตอนนี้ อีริคก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และแทบจะคนเดียวในชีวิต ที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังคงอยู่กับผมตลอดไปอย่างน้อยก็ในความทรงจำ ที่มันจะกลับมาให้เราเห็นได้เสมอเมื่อเราแค่นึกถึง... แล้ววันนี้เธอคนที่ผมคิดถึงก็มานั่งอยู่ตรงนี้อีกครั้ง เสียงเพลงยังคงแว่วดัง สัมผัสของตุ๊กตาหมีตัวนั้นยังติดอยู่ที่หลังมือ บรรยากาศตอนเช้าที่สดใสทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความทรงจำดีๆ และที่สำคัญเธอกำลังนั่งอยูข้างๆ ผมบนเตียงที่ผมกำลังนอนจมตัวเองอยู่อย่างนี้
“เป็นอย่างไรบ้างคะ? ไม่เจอกันเสียนานเลย” เธอขยับตัวเข้าหาผม เอามืออันอ่อนโยนลูบไล้ตามใบหน้าของผม น้ำตาผมไหลรินออกมาอย่างวันแรกที่สูญเสียเธอไป
“ผมคิดถึงคุณจัง... คุณอย่าไปไหนอีกนะ” ผมโผเข้ากอดเธอ แล้วยกมือปาดน้ำตาเหมือนเด็กผู้ชายขี้แย
“ร้องไห้ทำไมคะ? ไม่เอาหน่า ฉันก็อยู่นี่แล้วไง...” เธอบรรจงก้มลงหอมที่หน้าผาก ผมขยับตัวขึ้นหนุนตัก
“คุณรู้ไหมว่าชีวิตผมเป็นยังไง เวลาคุณไม่อยู่ ? ผมทำตัวเหมือนคนไร้จุดหมาย รอวันที่จะตามคุณไป ทิ้งชีวิตหลุดลอย ผมดูแลตัวเองไม่ดีเลย ผมทำตามที่รับปากกับคุณ ก่อนที่คุณจะออกจากห้องนี้ไปวันนั้นไม่ได้ คุณอย่าโกรธผมนะ!”
(“ดูแลตัวเองดีๆ เพื่อฉันนะคะ” เธอพูดขึ้น พร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ผมรู้สึกมีความสุขระคนไปกับความกังวลจากคำพูดแปลกๆ วันนั้นของเธอ ประโยคสุดท้ายก่อนที่จะเสียเธอไปตลอดกกาล)
“ค่ะ!... ฉันเชื่อว่าคุณต้องกลับมาแข็งแรง และมีความสุขเต็มที่อีกครั้ง ฉันจะคอยอยู่ข้างคุณตลอดไป...” ร่างกายของเธอขาวจาง แล้วเลือนลับ

ผมสะดุ้งขึ้นจากการที่เสียงเพลงเล่นจบแล้วหยุดลง ผมสะบัดหัวออกจากความคิดเพ้อเจ้อเลยเถิด ตุ๊กตาหมียังคงนั่งยิ้มอยู่ตรงตำแหน่งเดิม หลายครั้งที่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันดูเหมือนหมีที่ไหนว่ะ? เพราะมันก็ไม่ได้ดูเหมือนหมีตัวจริงที่ผมเคยเห็นตามสวนสัตว์มากนัก ผมไม่เคยเห็นหมีที่ไหนหูกางเป็นวงกลม มือเท้าสั้นผิดส่วน ตากลมเล็กใบหน้ายิ้มแย้ม จมูกยื่นออกมาจากใบหน้าน้อยกว่าความเป็นจริง แต่อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายเมื่อมันวางอยู่กับหมอน เมื่อมันนั่งอยู่กับช่อดอกไม้ เมื่อมันถูกวางอยู่ร่วมกับตุ๊กตากบที่หน้าคล้ายกบ ตุ๊กตาหมาที่หน้าคล้ายหมา ตุ๊กตากุ๊กไก่ที่หน้าคล้ายกุ๊กไก่ บรรยากาศรอบข้างทำให้มันดูน่ารักน่าชัง และเพิ่มความเป็นตุ๊กตาหมีในความหมายมากขึ้น และที่สำคัญเมื่อมันเป็นตัวแทนของบรรยากาศดีๆ ที่ดูคล้ายความรัก

คราบน้ำตายังคงเกาะอยู่ที่หางตา สติของผมกลับคืนมาเต็มที่แล้ว น่าแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้ผมกลับคิดถึงเธอขึ้นมา จนสามารถปั้นแต่งให้เธอมีตัวตนได้อีกครั้ง ตอนนี้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หัวสมองแล่นฉิว และรู้สึกเหมือนมีพลังอยู่เต็มตัว อาจจะเป็นเพราะเสียงเพลงที่ผมเปิด อาจเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมของเธอที่ผมสูดเข้าจมูก อาจเป็นเพราะการสัมผัสระหว่างผมกับตุ๊กตาหมีที่ได้จากเธอ หรืออาจเป็นเพราะอนุภาคของเธอที่ยังคงแผ่พลังออกมาภายในห้อง หรือทุกอย่างนั้นรวมกันพอดิบพอดี
“หรือว่า!!” ผมตื่นเต้น รีบโทรหาอีริค นัดกันว่าหลังเลิกงานให้มาเจอกันที่ร้านอาหารร้านเดิม ผมค้นพบข้อพิสูจน์ และแนวคิดใหม่ๆ มาส่งเสริมสมมุติฐานของอีริคแล้ว บรรยากาศตอนนั้นทำให้ผมขนลุกด้วยความสุข...
...
...

คืนวันนี้เสียงเพลงแจ็สบรรเลงชุ่มช่ำอีกครั้ง โต๊ะตัวเดิมวันนี้ดูเบิกบานเป็นพิเศษ บาร์เทนเดอร์และเหล่าบริกรที่คุ้นเคย ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าปรกติหลายเท่านัก คนเล่นดับเบิ้ลเบสบนเวทีมองลงมาที่โต๊ะแล้วพยักหน้าทักทาย... ผมเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเช้า
“ทุกๆ อย่างมันลงตัวพอดีจริงๆ เมื่อเช้า ทั้งเสียงเพลง กลิ่นไอ อุณหภูมิของช่วงเช้าที่เย็นสบาย ไอความชื้นของน้ำค้างยามเช้า ทุกอย่างจริงๆ อีริค ผมรู้สึกว่าหัวของผมขยับแล่นได้ดีเป็นพิเศษจนเผลอคิดเพ้อเจ้อเลยเถิดไปได้ถึงเพียงนั้น ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างช่วยตอบโจทย์ที่คุณคิดหว่ะอีริค แต่ผมไม่มีความรู้ทางวิชาการมันเลยตื้นๆ ตันๆ อยู่ในหัวใจอย่างไรบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเอามวลไปคูณกับกำลังสองของความเร็วแสงตรงช่วงไหน? เลยพูดออกมาเป็นหลักการไม่ได้หว่ะ...” ผมเขย่าแขนอีริคด้วยความตื่นเต้น แต่อีริคยังตามผมได้ไม่ทันนัก

“คิดดูสิว่าคนเราแต่ละทวีปต่างกันไปทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความคิดกันไปเพราะอะไร? น่าแปลกไหมที่ญี่ปุ่น ที่เป็นเอเชียแท้ๆ แต่กลับเจริญรุ่งเรืองได้เท่าเทียมกับประเทศแถบยุโรปหลายประเทศ อาจจะเป็นเพราะมีหิมะตก ทำให้มีไอน้ำ และอนุภาคความเย็นใกล้เคียงกัน คนเลยคิดอะไรสร้างสรรค์ได้คล้ายกันหรือเปล่า? แบบว่าอยู่ในชั้นบรรยากาศความก้าวหน้า” ผมลองอธิบายให้ดูมีหลักการอีกครั้ง

“อย่างรัสเซียก็อาจจะมีชั้นบรรยากาศคอมมูนิสต์ และชั้นบรรยากาศนั้นก็กินพื้นที่ไปถึงจีนที่อยู่ติดกันด้วย กรุงเยรูซาเลมที่วุ่นวายมา 2,000 กว่าปีและยังไม่จางหายก็เป็นเพราะมีชั้นบรรยากาศวุ่นวายปกคลุมอยู่ และเรื่องราวก็จะไม่จบไม่สิ้นถ้าชั้นบรรยากาศนี้ไม่เคลื่อนตัวออกไป ตะวันออกกลางก็ดูแปลกๆ เพราะชั้นบรรยากาศแบบทะเลทรายกลางคืนหนาวจัด กลางวันร้อนจัด ทำให้องค์ประกอบของชั้นบรรยากาศส่งผลต่อคนจนมึนงงสับสน และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น...
“หรืออย่างเรื่องใกล้ตัวที่เด็กไทยส่วนใหญ่ที่ไปโตที่ยุโรปตั้งแต่เด็กก็จะผิวพรรณดี สูง ขาว ไม่แน่ก็อาจจะฉลาดกว่าอย่างคุณไงอีริค ผิดกับเด็กไทยที่โตอยู่ที่เมืองไทยอย่างผม คนรวยๆ เขาถึงอยากจะส่งลูกๆ หลานๆ ให้ไปเรียนตรีฯ เรียนโทฯ ไปโตอยู่ที่นั่นกัน หรือจะเป็นเพราะที่บ้านเราถูกปกคลุมด้วยชั้นบรรยากาศบ้าวัตถุ...” ผมเริ่มอ้างวิชาการมั่วๆ ผสมไปกับความอึดอัดใจ

อีริคนั่งครุ่นคิดตามผมอยู่ครู่ใหญ่ และคงกำลังคิดเถียงผมในใจอยู่แน่นอนตามธรรมดาของเพื่อนคนนี้ แต่แล้วเพียงอึดใจเขาก็สามารถสรุปเรื่องได้ด้วยแววตาเบิกโพลง ดูเขาดีใจ และพอใจเอามากๆ เขาสามารถลำดับความคิดได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วว่า ในชั้นบรรยากาศใช่จะมีส่วนผสมเพียงจากก๊าซ และไอน้ำแค่นั้น แต่มันยังมีอนุภาคเสียง อนุภาคแสง แม้แต่ละอองฝุ่น ละอองกลิ่น และน่าจะมีอะไรอีกมากมายหลายอนุภาคที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนอย่างที่ผมบอก ที่เมื่อไรมันเข้าปะทะตัวเรา เคมีในร่างกายก็จะขับเคลื่อนความคิด ผลักดันแรงกระตุ้นต่างๆ ทำให้ต่างทิศต่างที่ต่างทวีปคนถึงคิดต่างกัน มีลักษณะทางกายภาพต่างกัน อีริคคิดไม่ออกเพราะบรรยากาศในห้องแลปทดลองไม่ลงตัวที่จะกระตุ้นเคมีของเขา แต่ที่นี่ภายใต้บทเพลงแสนโปรด เพื่อนถูกใจ แสงไฟสลัว และทุกๆ อย่างรวมกัน
“ผมและอีริค กำลังอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นใจ” ที่ค้นพบโดยอีริคและผม

เสียงเพลง The Prettiest Thing ของ Norah Jones แว่วดังขึ้น ผมเผลอสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด "บรรยากาศวันนี้สดชื่นดีจริง!" ผมคิด และกำลังยิ้ม...


The prettiest thing
I ever did see
Was dusty as the handle on the door
Rusty as a nail stuck in the old pine floor
Looks like home to me

I'm dreaming again
Like I've always been
And way down low
I'm thinkin' of the prettiest thing
------------------------------------------------------------------------------------
1. กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย โดยที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงได้แสดงไว้แก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ จนเมื่อรู้ และเข้าใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ หรือไม่มีโทษ ถึงจะควรละหรือถือปฏิบัติตามสิ่งนั้น
2. อิคโนเบล (Ig Nobel) รางวัลจริงๆ จังๆ กึ่งล้อเลียนรางวัลโนเบล (Nobel Price) ที่จัดขึ้นโดย Annals of Improbable Research (AIR) นิตยสารวิทยาศาสตร์แกมตลกขบขัน ซึ่งจะมอบรางวัลให้แก่บุคคลในสาขาต่างๆ ที่ทุ่มเทอุทิศชีวิตให้กับการทำงานวิจัย ซึ่งเป็นหัวข้อที่ใครได้ยินแล้วก็ต้องหัวเราะ