7 December 2006

-: นิทานยูเนสโก้ :-

นิทานยูเนสโก้

“ทุกวันนี้เราตกเป็นทาสของตะวันตกจนน่าใจหายที่คนไทยไม่คิดระแวง ไม่จำเป็นต้องเลิกทาส เพราะยังไงชนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะยอมเลิกอยู่แล้ว”

“รู้หรือเปล่า ว่ามรดกโลกคืออะไร?”
“แล้วรู้หรือเปล่า ว่าในราชอาณาจักรไทยก็ยังมีสถานที่อีกหลายแห่ง ที่ได้รับตำแหน่งนี้จาก ยูเนสโก้...”

ผู้ชายโทรศัพท์มาหาผมตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ของวัน เสียงของเขาดูตื่นเต้นที่ได้ไปรู้ข่าวคราวนี้มาจากอินเตอร์เน็ต ประเทศไทยของเราได้รับเกียรติแบบนี้ด้วยหรือ มรดกโลก ไหนจะองค์การยูเนสโก้อีก

หลายคนอาจเคยได้รู้มาแล้ว แต่ใครอีกหลายคนรวมถึงผมกลับได้ยินเพียงแค่ ผ่านๆ หูมา ก็เสียงแตรรถยนต์ และเสียงความจอแจในเมืองหลวงมันดังกลบซะอย่างนั้น ผมคงต้องยอมรับว่าตลอดการใช้ชีวิตของผมมา ครั้งนี้เกือบจะเป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้

ยูเนสโก้ เชียวหรือ? ฟังแล้วมันดูโก้ ดูอินเตอร์ ตามชื่อเลยนะ แหม๋! มันเท่จริงๆ ว่าแต่ยูเนสโก้คืออะไร?

“ป่าประเทศของยูเพิ่งจะได้สถานะมรดกโลกมาหนิ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา นี่ยูไม่รู้อะไรจริงๆ เหรอ? ก็เขาใหญ่ไงหล่ะ?”
ไมเคิลเจ้าของเสียงตื่นเต้นที่โทรศัพท์มาหาผมแต่เช้ากล่าวถามขึ้น
“อ้าวจริงเหรอ! ผมไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องราวเหล่านี้เท่าไร แต่ก็ดีนี่” ผมกล่าวตอบเลี่ยงๆ ไป และรีบเดินไปที่โต๊ะทำงาน ไม่ใช่เพราะผมขี้เกียจตอบคำถามหรือ รำคาญไมเคิลหรอกนะ แต่ผมอายเขามากกว่า ที่ผมเป็นคนไทยแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรเหล่านี้เลย

ไมเคิลเป็นชาวอเมริกาที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยได้หลายปีแล้ว เขาเคยบอกกับผมและเพื่อนๆ ร่วมงานว่า เขารักเมืองไทย เพราะเมืองไทยสวยงาม และเป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนไทย แต่เขาก็มักอดที่จะภูมิใจหรือดีใจไม่ได้ เมื่อเมืองไทยได้รับชื่อเสียงจากเรื่องต่างๆ หรือมีคนต่างชาติคนอื่นพูดถึงประเทศนี้ ประเทศของเรา... หรือประเทศของไมเคิล?

หลายต่อหลายครั้งที่ไมค์จะมาด้วยคำถามแปลกๆ ที่ทำเอาคนไทยอย่างผมอึ้งไป
“อ้าว! แล้วทำไมพวกยูไม่เรียกชื่อประเทศว่า ราชอาณาจักรไทยหล่ะ ก็ไอเหมือนเคยได้อ่านมาว่า ชื่อประเทศของยูในสารานุกรม เขียนแบบนี้ไม่ใช่หรือ?”
“ประเทศของยู ไม่ใส่ชุดประจำชาติกันแล้วเหรอ? ชุดแบบที่ไอเคยเห็นในหนังสือหน่ะ”
“ไทยมิวสิค แอนด์ไทยแดนซ์ซิ่ง หายไปไหน? มีผับแถวไหนบ้างไหมที่เด็กบ้านยูเข้าไปไทยแดนซ์ซิ่ง?”
“ทำไมต้องมีผม คุณ ฉัน กู มึง... ไอว่าไอ้คำพวกนี้แหล่ะนะ ที่ทำให้มีการแบ่งแยกชนชั้นกันในบ้านยู”
“ไอชอบเสียงระนาด และซอมากๆ วงดนตรีสมัยนี้น่าจะเอาเข้าไปร่วมเล่นด้วยนะ”

และหลายต่อหลายครั้งอีกเช่นกัน ที่ไมค์มักจะเอาข้อมูลของเมืองไทยมาบอก ข้อมูลที่ผมเองก็ไม่เคยรู้
“ธงช้างแบบเก่าของยู เคยมีคนผูกตีลังกา เป็นช้างกลับหัว ตอนรับเสด็จในหลวงร. 6 รวมไปถึงเพื่อความสะดวกของพสกนิกรจะได้มีไว้ใช้ได้ง่าย ไม่ต้องจัดทำเป็นรูปช้างให้ยุ่งยาก พระองค์ท่านจึงให้มีการเปลี่ยนเป็นธงสามสีอย่างปัจจุบันไงหล่ะ”
“เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วในเมืองหลวงของราชอาณาจักรไทยมี รถไฟฟ้าใช้แล้วนะ ที่เขาเรียกกันว่ารถราง แต่เพราะรถเมล์เกิดขึ้น รถรางก็วิ่งช้าไป และไปเกะกะการจราจร ก็เลยต้องยกเลิก”
“บางกะปิที่พวกเรารู้จักกัน อดีตเคยอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ตั้งแต่คือถนนเพลินจิตที่เราทำงานนี่ ถึงพระโขนงน่ะ ยูรู้ไหม”

และกับความรู้ใหม่ของไมเคิลในวันนี้...
“ป่าประเทศของยูเพิ่งจะได้สถานะมรดกโลกมาหนิ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา นี่ยูไม่รู้อะไรจริงๆ เหรอ? ก็เขาใหญ่ไงหล่ะ?”

พักเที่ยงวันนั้น ผมรีบปฏิเสธการเดินลงไปแย่งผู้คนมากมาย ทั้งในและต่างบริษัทเพื่อกินอาหารกลางวัน ผมมีเวลาเพียงชั่วโมงหนึ่งที่จะอัพเดทความรู้ตามที่ไมเคิลบอกมา ก็ใครจะพลาดได้ละครับเรื่องน่าตื่นเต้นขนาดนี้
ยูเนสโก้ เชียวหรือ? ฟังแล้วมันดูโก้ ดูอินเตอร์ ตามชื่อเลยนะ แหม๋! มันเท่จริงๆ ว่าแต่ยูเนสโก้คืออะไร?


ผมเปิดอินเตอร์เน็ตของบริษัท ในบริเวณโต๊ะทำงานแคบๆ ของผม หลายปีมานี้ ผมใช้อินเตอร์เน็ตไปกับการพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนๆ การรับ และส่งงานของบริษัทที่ต้องเอากลับมาทำที่บ้าน การอ่านข่าวสารบ้านเมือง บันเทิง และกีฬาที่ตามเก็บจากหนังสือพิมพ์ไม่ทัน หลายครั้งที่ผมเห็นน้องชายใช้อินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม น้อยครั้งนักที่ผมจะได้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ในการหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับความสนใจตัวเองสักที อย่างน้อยก็เอาไว้อัพเดทข่าวของราชอาณาจักรไทยอย่างที่ไมเคิลชอบเรียกอย่างนั้น

หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลมากมายจากการค้นหาคำว่า UNESCO และคำว่ามรดกโลก หลายๆ ความรู้เป็นสิ่งใหม่ แปลกตาจนแทบไม่น่าเชื่อ เครื่องคอมพิวเตอร์ไล่รายการมาให้ผมเลือกอ่านนับร้อย ผมเลือกรายการที่น่าจะตรงกับที่ต้องการหนึ่งถึงสองรายการ

“UNESCO ย่อมาจาก United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือแปลเป็นไทยว่า องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2488”

ข้อมูลเกือบทั้งหมดก็ปรากฎอย่างว่าง่ายบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพิ่งจะรู้ว่าในโลกแห่งอินเตอร์เน็ตมีความรู้อยู่มากมายขนาดนี้ ผมอดคิดไม่ได้จนชั่วขณะไล่สายตาไปอีกสองสามบรรทัด
“มีสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบัน (มีนาคม 2548) มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 191 ประเทศ และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยเข้าร่วมเป็นลำดับที่ 49 ในวันที่ 1 มกราคม 2492”
“ยูเนสโก้ร่วมมือกันตามคำมั่นสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ด้วยข้อความที่ว่า สงครามเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องสร้างความหวงแหนสันติภาพ ให้เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ด้วย” มิเพียงแต่ฟังดูคมคาย แต่ถ้อยวลีนี้ยังเปี่ยมไปด้วยแนวคิดง่ายๆ แต่น่าคิด

“มรดกโลก (World Heritage) คือ สถานที่ซึ่งมีคุณค่าสูงส่งอันประมาณค่าไม่ได้ และจะหาสถานที่อื่นใดมาแทนที่ก็ไม่ได้ คุณค่านี้ไม่ได้เป็นเพียงของชนชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งปวง”
“ของมนุษย์ชาติทั้งปวง? มรดกของโลก?”

“มรดกโลก จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. มรดกทางวัฒนธรรม มีความครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
- อนุสรณ์สถาน (ผลงานทางสถาปัตยกรรม ผลงานทางประติมากรรม หรือจิตรกรรม ส่วนประกอบหรือโครงสร้างของโบราณคดีธรรมชาติ จารึก ถ้ำที่อยู่อาศัย และร่องรอยที่ผสมผสานกันของสิ่งต่างๆ ข้างต้น) ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาสตร์
- กลุ่มอาคาร (กลุ่มของอาคารที่แยกจากกันหรือเชื่อมต่อกันโดยลักษณะทางสถาปัตยกรรม หรือโดยความสอดคล้องกลมกลืน หรือโดยสถานที่จากสภาพภูมิทัศน์) ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์
- แหล่ง ผลงานที่เกิดจากมนุษย์ หรือผลงานที่เกิดจากมนุษย์ และธรรมชาติ และบริเวณอันไปถึงแหล่งโบราณคดี ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางประวัติศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ ชาติวงศ์ หรือมานุษยวิทยา”
“พูดง่ายๆ ก็คงคือสถาปัตยกรรมที่เกิดจากมนุษย์ หรือธรรมชาติ ที่มีคุณค่า และหาไม่ได้อีกแล้ว มรดกโลกที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ พีรามิดที่อียิปต์ เทพีเสรีภาพที่อเมริกาบ้านเกิดของไมเคิล กำแพงเมืองจีนที่ประเทศจีน ฯลฯ”

“2. มรดกทางธรรมชาติ มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
- สภาพธรรมชาติที่ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพ และทางชีวภาพ หรือกลุ่มของสภาพธรรมชาติดังกล่าว ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางสุนทรียศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์
- สภาพองค์ประกอบทางธรณีวิทยา หรือธรณีสัณฐาน หรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้ง ว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์สัตว์ และพืชที่กำลังได้รับการคุกคาม ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางวิทยาศาสตร์ หรือการอนุรักษ์
- สภาพธรรมชาติหรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่า มีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากลในมิติทางวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ และความงดงามตามธรรมชาติ”
“หรือธรรมชาติ ที่ใกล้จะเหลือน้อย และต้องได้รับการคุ้มครอง เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ของไทย ”

“พื้นที่ที่นำเสนอเป็นมรดกโลกต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย 1 ใน 4 คุณสมบัติดังนี้ - เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของวิวัฒนาการสำคัญๆในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง - เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางธรณีวิทยา หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา
และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได - เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์หายากเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา - เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่หายากหรือที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายแต่ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้”

“ประเทศไทยมีสถานที่ที่ได้เป็นมรดกโลกอยู่ 5 แห่ง ได้แก่
- Thung Yai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries ,1991
- Historic Town of Sukhothai and associated historic towns ,1991
- Historic City of Ayutthaya and associated historic towns ,1991
- Ban Chiang Archaeological Site ,1992
- Dong Phayayen - Khao Yai Forest Complex ,2005”
ข้อมูลที่ผมได้ มาจากเวปไซท์อย่างเป็นทางการของยูเนสโก (http://www.unesco.org/) ทำให้ผมได้เห็นว่าชาวต่างชาติรู้จักบ้านเมืองของเราด้วยสำเนียงไหน ผมลองมาไล่ดูในสถานที่แต่ละที่ ในสำเนียงที่พวกเราคุ้นเคยกันคือสำเนียงไทยได้ดังนี้
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง
- อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
- นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
- แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
- ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่

ยังไม่ทันที่ผมจะได้รู้สึกภาคภูมิใจ หรือทำความเข้าใจมากนัก เวลางานที่ต้องสานต่อในช่วงบ่ายก็มาถึง ในใจผมเกิดคำถามมากมายจากประเด็นที่ไมเคิลตั้งขึ้นเมื่อตอนสาย ไม่สิ! ตั้งแต่ตอนเช้าตรู่เลยด้วยซ้ำ มรดกของโลก? มรดกของประเทศ? มรดกของคนไทย? มรดกของพวกเราทุกคน?

“ว่าไงไมค์ วันนี้ตอนกลางวันผมลองหาอ่านเรื่องที่ประเทศไทยได้มรดกโลกตามที่คุณบอกไง ผมสงสัยหว่ะ? ตกลงไอ้คำว่ามรดกโลกนี่มันได้กันมาได้ยังไง” ผมกล่าวถามไมเคิลในตอนเย็นหลังงานเลิก
“อ่อ! เท่าที่ไอรู้นะ ใครอยากได้ต้องเสนอพื้นที่ตัวเองให้กับยูเนสโก โดยการทำเอกสารเสนอหรือที่เขาเรียกว่า Nomination ที่ต้องแสดงว่าพื้นที่ที่เสนอนั้นมีคุณค่าตามเกณฑ์ที่ยูเนสโกกำหนด ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านกันก่อนสิ แล้วยูจะได้นั่งคุยกับไอไปด้วย” ไมเคิลกล่าวเชิญชวนผม แล้วพาเดินนำเข้าไปนั่งในร้านกาแฟด้านล่างตึก
“แล้วอย่างนี้ไมค์ คุณคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราน่าจะภูมิใจที่ประเทศของเราได้จัดให้เป็นมรดกโลกไหม? เพราะผมคิดว่ามันก็เหมือนการเสนอตัวเองประกวด ที่สิ่งที่ตามมาจากการได้รางวัลก็คือชื่อเสียง และนักท่องเที่ยวมากมายไม่ใช่เหรอ?” ผมกล่าวถามไมเคิลพร้อมยกคำว่าประเทศของเราให้กับเขาด้วย ตามที่ผมรู้สึกผมว่าประเทศนี้น่าจะเป็นของไมเคิลเช่นเดียวกัน และพวกเราคนไทยทั้งประเทศก็คงไม่รังเกียจ

“ไอว่านั่นก็คงเป็นผลประโยชน์หนึ่ง แต่ที่นอกเหนือกว่านั้นก็คงเป็นการนำเอาสแตนดาร์ดเข้ามาดูแลผืนป่า หรืออุทยานต่างๆ ของราชอาณาจักรไทย เพราะว่าไอรู้มาว่าถ้าได้เป็นมรดกโลก เรายังต้องดูแลพื้นที่ไม่ให้เสื่อมโทรม และต้องให้คงอยู่อย่างยั่งยืน นี่ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ ที่ไอกังวลก็คือ ราชอาณาจักรไทยประโคมข่าวแบบนี้กันน้อยมาก จนทำให้เรื่องนี้รู้กันในเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น”
“แต่ที่ผมกำลังกังวลก็คืออย่างเขาใหญ่หน่ะ ประเทศมหาอำนาจหลายๆ ประเทศกำลังขาดแคลนป่าไม้ เนื่องจากประชากรในประเทศเขาไม่อนุรักษ์ไว้ แล้วจึงใช้ชื่อของยูเนสโกมาสร้างภาพมรดกโลกให้ผืนป่าอย่างประเทศของเรา ให้อนุรักษ์ไว้ให้โลก ห้ามตัด ห้ามปลูกสิ่งก่อสร้าง ห้ามทำถนน ห้ามใช้ประโยชน์จากผืนป่าไปในทางพัฒนา ต้องเก็บความอุดมสมบูรณ์ไว้แบบนั้น แล้วพวกเขา เอ่อ... ก็ยังคงบ่อนทำลายโลกส่วนของเขากันต่อไป หรือเปล่า? นี่ผมไม่ได้ว่าประเทศคุณนะไมค์... เรากำลังถูกคุกคามด้วยการคิดแบบตะวันตก การตัดสินโลกทั้งใบด้วยมนุษย์ผมสีทองไม่กี่เปอร์เซนต์ แต่ดันเป็นสัดส่วนที่มีอำนาจมหาศาล ผมว่ามันไม่เหมาะกับโลกตะวันออกเท่าไรนักหรอก!” เสียงที่แข็งขืนต้องอ่อยลงเมื่อผมเผลอใส่อารมณ์กับประเทศบ้านเกิดของไมค์

“ไม่เป็นไรหรอก ไอเข้าใจ ไอก็ยอมรับ และหลงรักราชอาณาจักรไทยของยูมากเหมือนกัน ไอยังมองว่าแปลกตาที่ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นประเทศปฏิวัติอุตสาหกรรม ยังไงไปก็ว่าภูมิประเทศของประเทศยูก็น่าจะเหมาะกับเกษตรกรรมมากที่สุด เพราะคนมีอำนาจและมีเงินไม่กี่คนหยิบหมวกของตะวันตกมาสวมให้ประเทศของยู น่าตลกอย่างร้ายกาจแต่ก็ขำไม่ออก ผสมกับข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศไม่กี่ข้อที่ประเทศของไอตั้งเงื่อนไขกับประเทศของยู ซึ่งจะปฏิเสธก็พลอยแต่จะทำให้ประเทศลำบาก ทุกวันนี้เราตกเป็นทาสของตะวันตกจนน่าใจหายที่คนไทยไม่คิดระแวง ไม่จำเป็นต้องเลิกทาส เพราะยังไงชนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะยอมเลิกอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้มันก็ความคิดของแต่ละคนนะ ความจริงไอรู้มานานแล้วหล่ะเรื่องของการยอมรับได้ และการยอมรับไม่ได้ของคนทั่วโลกต่อมรดกโลกของยูเนสโก อย่างในเวปไซท์ที่ไอเข้าไปอ่านข้อมูลมีคนหลายคนที่โต้ตอบกันอย่างรุนแรง บางคนถึงกับบอกว่าที่นั่นที่นี่ ได้เป็นมรดกโลกได้ยังไง? บางคนบอกว่าเงินที่ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศต้องจ่ายให้กับยูเนสโก้แต่ละปีมากเกินไปไหม? ประเทศนั้นถูกยกย่องว่าเป็นมรดกโลกเพราะประเทศของไอจะเก็บพื้นที่นั้นไว้ และใช้อำนาจถือครองภายหลังจากนี้ไม่กี่สิบปี? ไอเข้าใจการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนะ ความคิดเห็นย่อมแตกต่างหลากหลายหรือยูว่ายังไง?”

ผมไม่ตอบ วันนั้นผมรู้สึกว่าเรื่องราวอะไรหลายอย่างที่ไมเคิล และผมได้คุยกันทำให้ผมได้รู้เรื่องอะไรอีกมาย ไม่ใช่เรื่องของยูเนสโก้ ไม่ใช่เรื่องของมรดกโลก ไม่ใช่เรื่องของมนุษยชาติ ก็แค่เรื่องของพวกเรา พวกเราคนไทยแท้ๆ ไม่ใช่คนชาติอื่นอย่างไมเคิล ที่มีมุมมองดีๆ ต่อประเทศไทยอย่างนั้น อย่างสถานที่ท่องเที่ยวของเราที่ฝรั่งไขว่คว้าอยากจะไป แต่คนไทยเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่เคยไปเยี่ยมเยือน วัฒนธรรม และความเป็นไทยดีๆ ที่คนไทยด้วยกันเองหัวเราะเยาะว่าเชย แสนเชย ล้าหลัง ไม่พัฒนา แล้วไปยกย่องคุณค่าชาวต่างชาติจนบางครั้งก็ดูแปลกตาไป

ยูเนสโก้ เชียวหรือ? ฟังแล้วมันดูโก้ ดูอินเตอร์ ตามชื่อเลยนะ แหม๋! ไอว่ามันเท่จริงๆ เลยไมเคิล?

6 November 2006

-: หากกวีไม่บรรเลงเพลงกวี แล้วจะมีใครสืบสานงานอักษร :-

หากกวีไม่บรรเลงเพลงกวี แล้วจะมีใครสืบสานงานอักษร

พ่อกับลูก คุยกัน ถึงวันนี้
เป็นวันที่ โลกเวียน และเปลี่ยนผัน
ความเจริญ เดินหน้ารุก ขึ้นทุกวัน
ความเป็นไทย ไหวสั่น น่าหวั่นใจ
เอกลักษณ์ ไทยแท้ แต่ครั้งก่อน
พ่อว่า"กลอน โคลงกาพย์ฉันท์ เริ่มสั่นไหว
เด็กรุ่นนี้ เริ่มรู้จาง เริ่มห่างไกล
กลัวคงไว้ เพียงชื่อ หรือไม่จริง?"


---------------------------------

ลูกสาวตอบพ่อ"นู๋ก็แต่งกลอนได้
พ่อจะห่วงอะไรมากมายหลายสิ่ง
หนูเคยอ่านกลอนมาเหมือนกัน พ่อนี่คิดมากจริงๆ
เดี๋ยวนู๋จะแต่งกลอนวัยรุ่นใสๆ หวานปิ๊งให้พ่อดู"


---------------------------------

"หนูเคยอ่าน กลอนเหล่านี้ จากที่ไหน?"
พ่อถอนใจ พลางกล่าวถาม ความจากหนู


---------------------------------

"นู๋ก็อ่านมาจากหนังสือรักวัยรุ่น
มีกลอนหวานวุ่นเขียนอยู่
ถ้าพ่ออยากรู้เดี๋ยวนู๋จะแต่งให้ฟัง"

เพราะเธอมาทำแบบนี้
ทำให้ฉันรู้สึกดีๆ ตั้งหลายครั้ง
และก็เพราะฉันไม่ทันระวัง
จึงตกหลุมรักเธออย่างจังตั้งหลายที
อยากให้เธอได้รู้
สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
มันเกินกว่าจะพูดออกมาเป็นคำดีๆ
กับความรู้สึกที่เรามีที่ผูกพัน


---------------------------------

"กลอนวัยรุ่น แบบนี้ ที่หนูว่า
พ่อฟังมา เหมือนกลาย คล้ายเปลี่ยนผัน
ความถูกต้อง สัมผัสใส่ ไม่คล้องกัน
ฉันทลักษณ์ รสคำนั้น ไม่เหมือนเดิม"

---------------------------------

"นู๋ไม่ยึดติดหรอกค่ะพ่อ
นู๋ว่าเราต้องพัฒนาต่อและส่งเสริม
จะให้ไปแต่งกลอนแบบเก่า
จะไม่พัฒนาเอาและล้าหลังเกิน
นู๋ว่าเราต้องต่อเติมเพื่อก้าวไป

แล้วนี้มันก็เป็นกลอนรักที่นู๋แต่ง
จะให้มาเก่าๆ แข็งๆ นู๋คงทำไม่ได้
ต้องให้มันเก๋ ดูดี มีสไตล์
แต่งเชยๆ เรียบๆ อย่างกลอนรุ่นใหญ่ไม่เข้าตา"


---------------------------------

"กลอนความรัก ประทับใจ ในแบบพ่อ
ไม่ได้แข็ง เป็นตอ เหมือนหนูว่า
ไม่ได้เรียบ เชยไป ไร้ราคา
ไม่ได้เก่า เต่าช้า น่ารำคาญ"

---------------------------------

ถึงม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน…
แม้เกิดใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอพบพาน พิศวาส ไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็น เป็นห้วง มหรรณพ
พี่ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชยผกา โกสุม ประทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำ ผ่องอำไพ ขอให้พี่
เป็นราชสีห์ สิงสู่ เป็นคู่สอง
จะติดตาม ทรามสงวน นวลละออง
เป็นคู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป

(พระอภัยมณีจีบนางละเวง : สุนทรภู่)

---------------------------------

อย่างความรัก ในบทกลอน สุนทรภู่
ที่ท่านชู และสั่งสม เพาะบ่มไว้
ช่วยรักษา ความสวยสด รสคำไทย
เพื่อคงให้ ใครเห็น ความเป็นเรา

ยิ่งถึง ปัจจุบัน ในวันนี้
ถ้อยรส บทกวี มีแต่เก่า
เริ่มจาง ร้างจน คนไม่เอา
คงแย่ แค่ได้เล่า ให้เขาฟัง

"การพัฒนา พ่อเข้าใจ ไม่ขอเถียง
หากแต่เพียง ต้องเข้าใจ ในพื้นหลัง
เราต้องรู้ เข้าใจ ให้จริงจัง
ก่อนจะตั้ง ใจจัด พัฒนา"

---------------------------------

"หนูรู้แล้ว คะคุณพ่อ หนูขอโทษ"
---------------------------------

"พ่อไม่โกรธ แค่กลัวสูญ ในคุณค่า"

---------------------------------

"หนูจะรัก ความเป็นไทย ไม่ร้างรา"

---------------------------------

"ศักดิ์ศรีไทย ให้คู่ฟ้า อย่าทำลาย"

---------------------------------

หาก ไร้มือ ผู้ถือซึ่ง หนึ่งรสศิลป์
กวี สิ้น ไร้ผู้ถือ สื่อความหมาย
ไม่บรรเลง เพลงร้อยกรอง ก้องกำจาย
เพลงกวี คงสุดท้าย ถึงปลายทาง
แล้วจะมี เอกลักษณ์ ประจักษ์ถิ่น
ใคร ได้ยิน รู้หรือไร ว่าไทยสร้าง
สืบสาน รส วรรณกรรม เพื่อนำทาง
งานอักษร ต้องไม่ร้าง จางกวี



---------------------------------


ด้วยรสหนึ่ง ยิ่งหวาน กว่าล้านรส
ด้วยงามงด สีสะคราญ กว่าล้านสี
ด้วยกลิ่นหอม หอมค่า กว่ามาลี
คือวจี ร้อยกรอง ก้องกังวาน
เพราะคำกลอน ขับกล่อม ย้อมชีวิต
เพราะคนคิด คงมี ที่ขับขาน
เพราะคนไทย รักคำ ไม่รำคาญ
กวีกาล จึงไม่สิ้น แผ่นดินไทย
แว่วเพลงชาติ วาดชื่อ ระบือลั่น
คนรักษ์ยัง รั้งยาว ให้ก้าวได้
กลอนต่อบท รสต่อลิ้น ไม่สิ้นไป
จึงคงไว้ ซึ่งศาสตร์ศิลป์ ไม่สิ้นลง...

(หากกวีฯ : ณ พงศ์ วรัญญานนท์)


---------------------------------


ข้อควรระวังในคุณลูก.
๑. แต่งคำประพันธ์ผิดฉันทลักษณ์ ,สะกดคำไม่ถูกต้อง นู๋ = หนู
๒. ในคำประพันธ์ไม่ควรใช้ไม้ยะมก จริงๆ ,ใสๆ = จริงจริง ,ใสใส
๓. เลี่ยงที่จะใช้คำเดียวกันเป็นสัมผัสในตำแหน่งสัมผัสต่อๆมา (สัมผัสซ้ำ)
“หรือไม่จริง” กับ “พ่อนี่คิดมากจริงๆ”
๔. ใช้คนละมาตราตัวสะกดเป็นเสียงสัมผัส (สัมผัสผิดเสียง)
“และส่งเสริม” (แม่กม) กับ “ล้าหลังเกิน” (แม่กน)


-: หัวลำโพงสะเตชั่น :-

หัวลำโพงสะเตชั่น

“ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง”

๖ โมงเย็นวันศุกร์ หลังจากเลิกงานภายในออฟฟิตหรูย่านสีลม ผมเดินลงจากตึกด้วยบันไดจากชั้นที่ ๑๖ ผมเลี่ยงที่จะใช้งานลิฟต์ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ เพราะผมอดที่จะแอบยิ้มใส่ใครๆ ไม่ได้ และก็อดที่จะแอบเห็นใครๆ หลายคน อมยิ้มอย่างผมในวันนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ และนั่นก็หมายถึงผมจะได้อยู่กับวันหยุดสบายๆ ของโลกใบนี้ได้ตั้ง ๒ วันหลังจากวันนี้ และผมจะได้เริ่มทำอะไรๆ ตามที่ผมตั้งใจไว้ต่อจากศุกร์ที่แล้วได้อีกครั้ง ผมมีความศุกร์กับชีวิตของผมจริงๆ ศุกร์จริงๆ...

เย็นวันศุกร์แบบนี้ใครหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ในชีวิตวุ่นวาย ทำงานอยู่ภายในตึกใหญ่ๆ สูงๆ หรืออาจจะไม่ใหญ่ ไม่สูง แต่ก็เป็นที่ทำงานที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อย่างน้อยอาทิตย์ละ ๕ วัน หลายคนก็คงรู้สึกเบื่อๆ คนอีกจำนวนหนึ่งอาจรู้สึกคุ้นเคยกับวันธรรมดาแบบนี้ แต่สำหรับผม ผมเห็นการเริ่มต้นในชีวิตของผมเอง ชีวิตที่ผมเลือกเองได้หลังจากต้องเบียดตัวนั่งอยู่โต๊ะทำงานขนาด ๑.๕ คูณ ๑ เมตร ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันนี้ผมนั่งรถเลยบ้านมาถึงสถานที่ที่ผมยกย่องด้วยตัวเองว่า เป็นอนุสาวรีย์แห่งการเดินทาง ที่หัวลำโพงสะเตชั่น ของผมนี่เอง ผมว่าใครหลายๆ คนก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมมากนัก ว่าที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทาง หรือเป็นจุดจบสิ้นของความรู้สึกสนุกสนานที่อบอวลอยู่ในหัวใจของการสิ้นสุดการเดินทางในครั้งนั้นๆ หัวลำโพงสะเตชั่นของพวกเราทุกคนบรรจุความรู้สึกแบบนี้ไว้ทั้งหมด และบรรจุไว้แบบเต็มๆ ถ้าใครอยากได้รับความรู้สึกนี้ ไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตผู้ดูแลหัวลำโพงสะเตชั่นเข้าไปเก็บเอาชิ้นส่วนของความรู้สึกที่บริเวณใต้ฐานของอนุสาวรีย์ ความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกสลักไว้รอบๆ ผนัง ให้คนเข้าไปอ่านชื่อผู้ที่เคยท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อย่างอนุสาวรีย์ ๑๔ ตุลาคม ไม่ต้องมีพาน ๒ ใบวางซ้อนกันสำหรับใส่แผนที่วางไว้ที่ยอดอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ต้องมีคนสะพายกระเป๋า และถือกล้องยืนอยู่รอบๆ สิ่งก่อสร้างยอดแหลมสูงอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะนั่งรถเลยไปที่ไหน หรือตั้งใจที่จะเดินทางไปยังต่างจังหวัด แต่พอดีวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ วันศุกร์ที่ผมตั้งใจมาตลอดว่าสักวันผมจะต้องมาหยุดอยู่ที่นี่ หยุดเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผมต้องการจะไป แม้วันนี้ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมามากมายนัก แต่หัวใจของผมก็พามาที่นี่จนได้

ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง ซึ่งผมก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าโลกในระบบทุนนิยมขั้นรุนแรงอย่างปัจจุบันนี้ ผมก็แทบจะถอนตัวไม่ขึ้นกับการที่ต้องบูชาปัจจัยที่ ๕ หรือเงินของพวกเขาเหล่านั้น
ผมพาตัวเอง มานั่งอยู่ภายในบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น เพลงจากเครื่องเล่นที่เสียบอยู่ที่หู ผสมกับภาพของการเตรียมตัวเดินทาง การเตรียมตัวกลับบ้าน การพบ การจาก ช่วยเร่งความรู้สึกที่อยากจะปลดปล่อยไอ้ก้อนหนักๆ ที่อยู่ที่หัว ที่ผมสะสมมาตลอดการเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน และตลอดการทำงานของผมทั้งสัปดาห์ ให้หลุดลอยออกไปจากตัวของผมเสียที

ผมตัดสินใจเดินไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ ตั้งใจจะนั่งรถไฟเล่น ไปยังที่ไหนก็ได้บนประเทศผืนนี้ ไกลจากความเจริญที่หน่วงความรู้สึกอิสระ ไปจากความร่ำรวยที่กดทับความมีน้ำใจ ไปจากการทำงานภายในที่ทำงาน ที่เป็นเส้นตรงตลอดการใช้ชีวิตภายในวันหนึ่งๆ

ผมเคยคิดที่จะเขียนไดอารี่เพื่อบันทึกชีวิตประจำวันของผมไว้อ่านเล่นในยามที่ผมตกงาน หรือสังคมใบนี้อาจจะไม่ต้องการคนอย่างผมแล้ว ไดอารี่ทุกหน้าเหมือนจะถูกคัดลอกกันมา

เริ่มต้นตั้งแต่การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน .....
.....
....
...

เสียงเจ้าหน้าที่เรียกผมให้ตื่นจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ถึงคิวของผมแล้ว เสียงเจ้าหน้าที่กล่าวถามอย่างสุภาพว่าผมต้องการจะซื้อตั๋วเพื่อที่จะเดินทางไปที่ไหน ผมคิดทบทวนในใจครู่ใหญ่ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก เนื่องจากการทำงานที่แสนเหนื่อยล้ามาตลอดสัปดาห์ ใช่ครับ อย่างที่ผมบอกกับทุกคนไปแล้ว ผมมีงานที่ยังคั่งค้างวางกองอยู่เต็มโต๊ะทำงานที่บริษัท รวมไปถึงกองงานที่ผมนำกลับมาทำต่อ ที่บ้าน วันหยุดอาทิตย์นี้ผมคงไม่มีเวลาว่างมากพอเสียแล้ว

ในที่สุดผมก็กล่าวปฏิเสธที่จะซื้อตั๋ว และขอโทษที่ทำให้นักเดินทางผู้ใช้บริการรายอื่นๆ ต้องเสียเวลา ก้าวเดินออกจากบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อตอนเย็นของผมเริ่มจางไป ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมไม่มีเวลาพอที่จะยิ้มมากนัก ยังมีช่วงชีวิตของการทำงานรอผมอยู่ในวันหยุดที่จะถึงนี้

อาทิตย์หน้าผมจะออกเดินทางตามที่ผมตั้งใจอีกครั้ง ถ้าผมจะได้มีวันหยุดจริงๆ และถ้าไม่เหนื่อยจนอยากจะนอนพักอยู่ที่บ้านเสียก่อน ถ้างานของผมไม่มากนัก ถ้ารถไม่ติด ถ้าเงินเหลือ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ถ้า.....
ถ้ามนุษย์มีเงื่อนไขในการใช้ชีวิตน้อยกว่านี้...

หัวลำโพงสะเตชั่น..... ไว้วันศุกร์หน้า เราคงได้เจอกัน.....


12 October 2006

-: Ars Longa Vita Brevis :-

Ars Longa Vita Brevis

รูปภาพจาก Positioning Magazine
“Ars Longa Vita Brevis
ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น”

ภาพเขียนชุด “ไตรสูรย์” ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ถูกยกลงจากผนังของห้องแสดงภาพใจกลางมหานครนายก ปรากฏเพียงเป็นภาพของผนังสีขาวว่างเปล่า แสงไฟสีส้มจากโคมไฟสีเงินที่ยื่นตัวออกมาจากผนัง สาดส่องอดีตของรูปเขียน เผยให้เห็นถึงรอยด่างของฝุ่นที่เกิดจากการทับไว้โดยภาพเขียนชุดยิ่งใหญ่ของโลก ภาพเขียนเหล่านี้กำลังจะถูกขนย้ายเพื่อนำไปตรวจสอบที่ศูนย์กลางคัดสรรผลงานนอกรีต บริเวณถนนสีลมในกรุงเทพ พร้อมกับภาพเขียนอีกหลายชิ้นภายในห้องแสดงผลงานศิลปะเดียวกัน
“ห้องแสดงผลงานศิลปะแห่งสุดท้ายในประเทศไทย...”
ห้องแสดงผลงานศิลปะประกอบจากอาคาร 2 ชั้น แต่จากภายนอก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะเห็นเป็นเพียงอาคารชั้นเดียว เนื่องด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคสมัยนี้ของพวกศิลปินนอกรีต และพ่อค้าของผิดกฎหมายที่ต้องการเป็นส่วนตัวจากการรบกวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซื่อสัตย์ และโอบอ้อมอารี โดยการฝังห้องเอาไว้ใต้ล่างของผืนดิน ห้องลับรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 50 ตารางวา มุดตัวอยู่ใจกลางมหานคร อันคับคั่งไปด้วยเพื่อนสิ่งก่อสร้างมากหน้าหลายตา เพียง 150 ปีที่ผ่านมานี้เมืองหลวงของประเทศไทยดูแปลกตาไปมาก นับจากการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพ มาอยู่ที่มหานครแห่งใหม่นี้

มหานครนายก พ.ศ. 2626.12(3)

Ars Longa Vita Brevis
ศิลปะ
ยืนยาว
ชีวิต
สั้น
!!!
ถ้อยวลีอมตะของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี หรือ คอร์ราโด เฟโรจี ( Professor Corrado Feroci ) ศิลปินชาวอิตาลีที่เข้ามาสร้างประโยชน์กับวงการศิลปะไทยตั้งแต่ยุคสมัยขององค์กษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ตามความต้องการของพระองค์ท่านที่ต้องการหาครูมาสอนช่างปั้นไทยให้สามารถในศิลปะ และวิทยาการอย่างโลกตะวันตก วางตัวผสมผสานกับรูปภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกยุคใหม่ “ศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยี” ตามที่ท่านผู้นำต้องการจะสื่อสารกับประชาชนทั่วไป บรรจุรวมกันอยู่ในโปสเตอร์ 16 ล้านสี ที่ถูกแปะเอาไว้เหนือชั้นหนังสือที่ใช้ลวงตาแทนกลไกเปิดประตูห้องลับของห้องแสดงภาพ
ห้องลับที่มีสัดส่วนทั้งความกว้าง ความยาว และความลึก กำลังบรรจุสิ่งมีชีวิต 2 ชีวิต ที่กำลังนั่งอยู่ภายใต้แสงไฟจากหลอดนีออนสีส้มสลัวๆ บนเพดาน ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่อยู่ถัดจากหลอดไฟไปเล็กน้อย เคลื่อนตัวไหลไปปะทะ และลูบไล้เพื่อนร่วมห้องทั่วทั้งห้องให้ได้รับความเย็นสบาย ภาพเบื้องล่างตรงส่วนกลางของห้องมีโต๊ะกระจกฐานเหล็กแบบอาร์ตนูโว* ที่สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 นั้นกำลังประดับไว้ให้โต๊ะดูมีคุณค่า และมีประโยชน์ขึ้นอย่างเต็มความสามารถของมัน ถัดไปเล็กน้อยตรงมุมห้องด้านขวามีชั้นวางหนังสือวรรณกรรมที่พิมพ์ด้วยกระดาษ 10 กว่าเล่ม และแผงรูปถ่ายขาวดำของรอดนีย์ สมิทธิ์ (Rodney Smith) ที่เกิดจากการถ่ายด้วยฟิล์มที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่ดิจิตอลครองโลก ยุคเทคโนโลยีนิยม** และยุคที่กระดาษขาดแคลน เบื้องหลังของสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 มีภาพเขียน ภาพพิมพ์ และงานปูนปั้น อีก 2 ถึง 3 ชิ้นวางพิงกับกำแพงอยู่
“แล้วคุณจะเอายังไงต่อไปสมจอห์น ภาพเขียนชุดสุดท้ายที่พ่อคุณเก็บบำรุงรักษาไว้ รวมทั้งงานของพวกเราก็ถูกรัฐบาลขนเอาไปเกือบหมด เหลืออยู่ในห้องนี้อีกไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง” เพื่อนร่วมงานเพศชายของสมจอห์นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใสๆ โดยไม่ได้สัมผัสหยาดน้ำค้างแต่อย่างใด เจือปนด้วยละอองความเครียดเค้นในเส้นคอ ทำลายกลุ่มก้อนของความเงียบขนาด 0 เดซิเบล และเสียงครางของเครื่องปรับอากาศที่ปกคลุมอยู่ทั่ว ให้กระจัดกระจายออกไปตามซอกหลืบของห้องเกือบทั้งหมด
“งานศิลปะชิ้นที่ 27 ในรอบสามเดือนนี้แล้วนะ อีกไม่นานห้องแสดงภาพของเราคงต้องถูกสั่งปิด และงานศิลปะยุคเก่าทั้งหมดคงหมดไปจากประเทศไทยแน่ๆ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ” สมจอห์นกล่าวขึ้นเสียงเศร้า
เพื่อนชายของเขาลุกขึ้นเดินก้าวจากกลางห้องไปสู่มุมที่มีงานเขียนวางพิงอยู่ ก้มลงมองภาพเหมือนของซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) จิตรกรแนวเซอร์เรียลชาวสเปนที่โด่งดังในช่วงปีพ.ศ. 2530 “พวกเราเกิดมาเป็นศิลปินมันผิดตรงไหน? เรารักที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เรารักที่จะแสดงผลงานที่เรารักมันน่าอายนักมากเหรอไง? งานศิลปะยุคเก่าที่ใช้สองมือ กับจิตใจปั้นแต่งขึ้นมาแบบนี้มันไปถ่วงความเจริญของชาติบ้านเมืองตรงส่วนไหนว่ะ ส่วนภูมิภาคหรือไง?” เขาพูดขึ้นเสียงเบาคล้ายจะกระเซ้าเย้าแหย่แต่ดาลีเพียงคนเดียว ถ้าไม่บังเอิญสมจอห์นจะได้ยินเข้าด้วยอีกคน
“ใช่! ผมเบื่อกับกฎหมายเทคโนโลยีนิยมไอ้นโยบาย – ศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยี – ของท่านผู้นำจริงๆ ดูยังไงก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยโกหกคนทั้งเพ ปฏิบัติการลวงโลกเสียยิ่งกว่าการที่อเมริกาหลอกว่าเคยไปเหยียบดาวพลูโตมาแล้วเสียอีก” สมจอห์นกล่าวขึ้น พร้อมหยิบแผ่นใบปลิวเคลื่อนไหวพลาสติกใสขึ้นมาถือในมือ
ใบปลิวเคลื่อนไหวพลาสติกใสขนาด A4 ทำงานโดยการใช้แหล่งพลังงานกระตุ้นให้สารเคมีภายในแผ่นพลาสติกใสเกิดปฏิกิริยาเรืองแสงเข้าสู่ตาของคนอ่าน เกิดเป็นภาพ และตัวหนังสือขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทางรัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้สำหรับนักเขียนทั่วประเทศใช้ในการผลิตผลงานวรรณกรรมขึ้น โดยตั้งเป็นข้อกำหนดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว สำหรับผู้ที่ต้องการส่งผลงานชิงรางวัล SEA Write*** ที่ท่านพระยาประพันธ์ สีไร ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลสาขาสยามประเทศที่หลงรักในงานเขียนจนได้รับบรรดาศักดิ์จากคุณงามความงามดีที่สร้างไว้ ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ก่อนตัวตายเพื่อต้องการให้สืบสานวงการวรรณกรรมต่อไปยังภายหน้า รวมไปถึงอีกหลาย 10 รางวัลวรรณกรรม โดยเก็บยึดกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้ทั้งหมดโดยกล่าวอ้างว่ากระดาษกำลังจะหมดโลก และต้องการให้งานวรรณกรรมของไทยมีคุณภาพทัดเทียมนานาอารยประเทศที่เจริญจำรัสจะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนส่งตัวเองไปคว้าเอารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมมาประดับหน้าตาของประเทศกันบ้าง หรือเพียงแต่ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลิวูดเพียงตอนสั้นๆ ก็น่าชื่นใจ ใบปลิวเคลื่อนไหวในมือสมจอห์นกำลังแสดงภาพท่านผู้นำที่กำลังกล่าวโฆษณาชวนชอบถึงคุณลักษณะของภาพเขียนที่ดีสำหรับศิลปิน และนักศึกษาศิลปะรุ่นใหม่
- รูปเขียนต้องมีความละเอียด 10 ล้านเมกกะพิกเซลขึ้นไป
- ต้องใช้สีเกินกว่า 16 ล้านสี
- งานที่ดีต้องผ่านการวาดเขียน จากพู่กันไฟฟ้าที่มีความละเอียดสูง
- การสื่อสารต้องสื่อสารแต่แง่ของความศิวิไลซ์ ความรักชาติ และความทันสมัยเท่านั้น ห้ามสื่อสารถึง
สิ่งใดที่แสดงให้เห็นถึงความล้าหลังของประเทศ
- คุณสมบัติต่างๆ อาจมีการปรับขึ้นได้จากนี้ เมื่อเทคโนโลยีมีการปรับตัวสูงขึ้น
- งานที่นอกเหนือจากคุณสมบัติที่กำหนด หรือเป็นศิลปะยุคเก่าล้าสมัย จะต้องถูกนำไปตรวจสอบ เพื่อ
ตัดสินว่าผิดกฎหมายหรือไม่ และงานนอกรีตที่ผิดกฎหมายเหล่านี้จะต้องถูกทำลาย
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย!
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย!!
- ...
ศิลปะสั้นชีวิตยืนยาว!

“เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว! อยู่เฉยอย่างนี้ก็เหมือนรอคอยความพ่ายแพ้ไปวันๆ ผมจะปฏิวัติอีกครั้ง!! เพื่อศิลปะ เพื่อประเทศชาติ เพื่อพ่อของผม” สมจอห์นกวาดตามองไปที่งานศิลปะที่ห้องลับนี้พอจะมีเหลืออยู่ พลางนึกถึงพ่อผู้เป็นฮีโร่ของเขา พ่อของสมจอห์นเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ปฏิวัติล้มล้างระบบเทคโนโลยีนิยม หรือพรรคคอมมิวติสต์ (Communist + Artist) ซึ่งดำเนินนโยบายเก็บรวบรวม และสะสมงานศิลปะทุกแขนงที่เป็นศิลปะนอกรีตมาเก็บไว้ที่ห้องลับแห่งนี้ แล้วจัดแสดงผลงานศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยีควบคู่กับผลงานที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผลงานนอกรีตไว้ในห้องแสดงผลงานบนดินเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
พ่อของสมจอห์นมักกล่าวกับเขาบ่อยครั้งว่าระบบเทคโนโลยีนิยมเป็นระบบที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในหมู่ประชาชน พ่อของสมจอห์นเชื่อว่าคุณค่าของมนุษย์นั้นอยู่ที่ผลงานศิลปะ มนุษย์จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เมื่อได้ทำงานที่มีลักษณะสร้างสรรค์ แต่ในระบบเทคโนโลยีนิยมนั้น แรงงานของมนุษย์กลายเป็นสินค้าที่ถูกซื้อขายกันในท้องตลาด มนุษย์ทำงานเป็นเหมือนเครื่องจักรไม่มีลักษณะที่สร้างสรรค์แต่อย่างใด**** โดยพ่อของสมจอห์นจะใช้บริเวณห้องแสดงผลงานของชั้นบนดินในการประชุม และวางแผนทั่วไป มีเพียงเพื่อนสนิทของพ่อไม่กี่คนที่รู้จักห้องลับแห่งนี้ จนงานศิลปะมากมายถูกรวบรวมได้จำนวนพอสมควร พร้อมกับสมัครพรรคพวกศิลปินในแขนงต่างๆ ในที่สุด... โอกาสที่จะประกาศการปฏิวัติก็ใกล้จะเข้ามาถึง

“คุณไม่กลัวหรือสมจอห์น พ่อคุณก็เคยถูกจับเนรเทศออกนอกประเทศไปก็เพราะตั้งตนขึ้นเป็นแกนนำกลุ่มคอมมิวติสต์นะ คุณลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของคุณต้องทุกข์ทรมานเพียงใดที่อิตาลี” ภาพของพ่อที่กำลังตรากตรำทำงานหนักในอิตาลีปรากฏขึ้นท่ามกลางความคิดมากมายของสมจอห์น จดหมายทุกๆ ฉบับ รูปถ่ายทุกๆ รูปของพ่อที่แสดงให้เห็นถึงช่วงชีวิตอันแสนสาหัสจนร่างกายซูบผอมมีเพียงแผ่นหนังคลุมทับชิดติดกระดูก ไม่ใช่เพราะอาหารอิตาลีไม่ถูกปาก เขาไม่เชื่ออย่างนั้น!พ่อเคยบอกกับเขาว่าพ่อชอบกินพิซซ่า และลาซานย่าเป็นที่สุด พ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายปีจนในที่สุดก็เสียชีวิตลง สมจอห์นจำวันนั้นได้สนิทใจไม่เคยลืมเลือน เมื่อเพื่อนสนิทของเขาที่เรียนศิลปะอยู่ที่เมืองใกล้ๆ โทรศัพท์มาแจ้งข่าว วันที่สมจอห์นได้รับปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตพอดิบพอดี
“พ่อ และเพื่อนๆ พลาดเพราะไว้ใจคนอื่นมากเกินไป จนนำงานศิลปะที่สำคัญหลายชิ้นขึ้นไปแสดงในห้องแสดงผลงานด้านบนจนเกือบหมด และในวันประชุมสมาชิกพรรคก่อนการปฏิวัติจะเริ่มขึ้นเพียงวันเดียวพ่อถูกหักหลังจากคนใน งานดีๆ หลายชิ้นถูกทำลาย และพรรคคอมมิวติสต์ก็ต้องจบสิ้นลงหลังจากวันนั้น ผมจะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับผมแน่ อย่างน้อยห้องลับแห่งนี้ก็มีแต่ผมกับคุณเท่านั้นที่รู้...”

มุมด้านหนึ่งของห้องลับแขวนประดับไว้ด้วยพรมลายไทยขนาด 2.5 คูณ 1 เมตร ในกรอบไม้ปิดป้องด้วยกระจกใสอย่างดี วางประดับผนังไว้ถัดจากรูปเขียนอื่นๆ จนดูคล้ายเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นใหญ่ธรรมดาเพียงชิ้นหนึ่ง สมจอห์นเดินตรงเข้ามาที่กรอบบรรจุพรม ยกขาขึ้นเตะมุมซ้ายล่างของกรอบจนทำให้กรอบพรมแถบด้านซ้ายเผยอตัวออกมาคล้ายบานประตูที่ถูกผลักออก เห็นเป็นส่วนของผนังที่เว้าเข้าไปเกิดเป็นห้องขนาดเล็ก
ภายในห้องมีโต๊ะไม้โบราณตั้งแต่ปี 2547 วางอยู่ในลักษณะของห้องทำงาน 3 ถึง 4 ตัว กั้นเป็นคอกๆ ด้วยฉากไม้ และกระจกใส เผยให้เห็นส่วนมุมของโต๊ะตัวใหญ่ด้านในสุดแลบออกมาจากพื้นที่ส่วนตัว สมจอห์นเดินนำเพื่อนร่วมงานเพศชายของเขาเข้ามาสู่บริเวณห้องขนาดเล็กนี้ ก้าวตรงมุ่งหน้าเข้าไปยังโต๊ะไม้ตัวในสุด ทุกก้าวที่สมจอห์นขยับเข้าใกล้โต๊ะ เหลี่ยมและมุมเผยให้เขาเห็นภาพกรอบรูปสีน้ำตาลที่อาศัยอยู่บนโต๊ะทำงานตัวนั้นครบถ้วน และชัดเจนขึ้น พ่อและเขาอาศัยอยู่ในกรอบรูปนั้น
“ที่นี่คือ?”
“…โต๊ะทำงานของพ่อผม ผมไม่เคยพาคุณมาที่นี่เลย แปลกใจใช่ไหม? ผมว่าคุณพ่อน่าจะมีบันทึกอะไรที่ยังหลงเหลือจากการปฏิวัติครั้งแรกเก็บซ่อนอยู่ภายในบริเวณนี้บ้าง” สมจอห์นพูดพลางใช้มือดันตัวของเพื่อนให้เดินเข้าสู่ด้านหลังของตัวโต๊ะ พลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณคอกเล็กๆ อันเคยเป็นสมบัติสถานส่วนตัวของอดีตหัวหน้ากลุ่มคณะปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล ของหลายอย่างยังคงถูกจัดวางอย่างเป็นสัดส่วน และมีระเบียบเรียบร้อยอย่างที่มันควรจะเป็น สมจอห์นเริ่มรื้อค้นของบนโต๊ะอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งหลงหูหลงตาไป เพื่อนชายของเขาขยับกายเขยื้อนเขยิบเข้าสู่ประตูลิ้นชักของโต๊ะ
ของบนโต๊ะส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหนังสือตำราศิลปะเล่มโต บางเล่มถูกเก็บรักษาอย่างดีเป็นเวลากว่าร้อยปี ที่เก่ากว่านั้นส่วนใหญ่จะถูก Staff แล้วเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อีกส่วนหนึ่งที่มีเนื้อหาผิดแผกแปลกแยกจากวิสัยเทคโนโลยีนิยมก็กลายเป็นเพียงฝุ่นละอองของขยะที่เกิดจากการกำจัดของหน่วยคัดสรรผลงานนอกรีต
“ผมเปิดมันไม่ได้!” สมจอห์นเบนความสนใจมาที่ต้นเสียง ที่กำลังพยายามกระชากประตูลิ้นชัก เขย่าขึ้นลงเพื่อหาทางเลื่อนเอาสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาปะทะสายตาสองคู่ด้านนอก
“มันล็อค! และเท่าที่เห็นก่อนหน้านี้ทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ และบริเวณนี้เป็นระเบียบมากเกินไป ผมว่ามันไม่ธรรมชาติ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่เคยมีใครมายุ่งวุ่นวายแถวๆ นี้”
“นอกจากบ้าน... พ่อก็อาศัยห้องลับของตึกหลังนี้เป็นที่ซุกหัวนอนมาตลอดชีวิตของพ่อในขณะที่อยู่เมืองไทย มีน้อยคนนักที่จะรู้จักที่ห้องลับแห่งนี้ และน้อยคนนักที่จะรู้จักห้องลับลับหลังกรอบพรมนั้นอีกที และของที่เป็นระเบียบเกินไปนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี พ่อผมเป็นคนเจ้าระเบียบแม้มีดินสอเพียงด้ามเดียวขยับออกจากที่ที่มันเคยวางอยู่ คุณพ่อก็จะรู้”
“แล้วเป็นไปได้หรือ? ว่าจะไม่มีใคร หรืออย่างน้อยก็ตัวคุณไม่เคยแวะเวียนมาแถวห้องลับลับนี้เลยตลอดหลายปีที่พ่อคุณถูกเนรเทศ”
“ใครว่าผมไม่เคยมายุ่งแถวนี้หล่ะ... นี่ไงกุญแจ!” สมจอห์นชูกุญแจทองเหลือง ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในแจกันบนโต๊ะทำงาน
“อยู่นี่ไง กุญแจที่จะอาจจะช่วยไขความลับทุกอย่างในการปฏิวัติ กุญแจที่น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของพวกเรา มันถูกซ่อนอยู่ในแจกันใต้จมูกเรานี่เอง เคยได้ยินไหมหล่ะ ที่ๆ อันตรายที่สุด คือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด...”
“แต่ว่ามันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ มันอาจจะเป็นอุบายของใครบางคนก็ได้นะ”
“มองอะไรให้มันยากเกินไปหรือเปล่า? ชีวิตนี้มันง่ายกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ!”
“แกร๊ก!!” เสียงลั่นกุญแจดังขึ้นกระตุ้นต่อมความตื่นเต้นที่กำลังเต้นแรงอยู่แล้วของทั้งคู่ให้เต้นแรงยิ่งขึ้น
“อ่ะ! นั่นไงเปิดได้แล้ว...” สมจอห์นหยิบของข้างในชิ้นหนึ่งส่งให้เพื่อนร่วมงานเพศชายของเขา “คุณช่วยเอาเอกสารในแฟ้มนี้ไปเปิดดูหน่อยละกัน ผมจะจัดการกับที่เหลือเอง”
ทั้งคู่พากันเดินออกมาที่โต๊ะกระจกฐานโลหะกลางบริเวณห้องลับที่เคยนั่งอยู่ตอนแรก สมจอห์นทำการรื้อค้นภายในลิ้นชักที่ดึงถอดออกมาจากโต๊ะไม้
“เราเจอกับอะไรบ้างเนี่ย ประวัติศาสตร์การปฏิวัติ, ศิลปะสมัยเทคโนโลยีเก่า, คู่มือ Photoshop! ฮ่า! โปรแกรมโบราณแบบนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้างไหม”
“สมจอห์นผมว่าคุณควรดูอะไรนี่หน่อย!”
“รายชื่อผู้เข้าร่วมปฏิวัติครั้งก่อน! รายงานการประชุม!! และแผนผังอาคารทำเนียบรัฐบาล!!!”

แผนผังทำเนียบรัฐบาลถูกเขียนขึ้นบนกระดาษร้อยปอนด์ 190 แกรม ขนาด 56x76 ซ.ม. มีรอยบอบช้ำคล้ายถูกหยิบใช้ผ่านมือมาอย่างโชกโชน รวมไปถึงความเก่าที่ถูกระยะเวลาช่วยซ้ำให้รอยเหล่านั้นแจ่มชัดขึ้น
ภายในกระดาษมีร่องรอยน้ำหมึกที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของอาคารตั้งแต่ชั้น1 ถึงชั้นบนสุด รวมไปถึงอุโมงค์ใต้ดินที่ทะลุเข้าห้องเก็บของที่ไม่มีใครล่วงรู้
“พ่อและกลุ่มเพื่อนๆ บางคนช่วยกันสร้างอุโมงค์ลับจากห้องลับลับหลังกรอบพรม ตรงยาวถึงทำเนียบรัฐบาล และร่วมมือกับแฮกเกอร์ที่รักในงานศิลปะช่วยกันตัดระบบเตือนภัยภายในอาคาร มิน่าหล่ะหลายปีก่อนพ่อถูกเนรเทศ ท่านขลุกตัวอยู่แต่ในห้องลับนี้เป็นประจำ เอกสารเหล่านี้ช่วยเราได้มากเลย จากนี้ผมกับคุณช่วยกันสานต่อภารกิจของพ่อ แค่เราเข้าสามารถบุกเข้าไปถึงห้องทำงานของท่านผู้นำได้ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นสีชมพู” สมจอห์นคิดไปถึงวันที่การปฏิวัติสำเร็จและเสร็จสิ้นลง โลกของเขาคงเป็นสีชมพูโดยไม่ได้ตาบอดสี
“คุณช่วยดูรายชื่อของผู้เข้าร่วมคณะปฏิวัติทั้งหมด แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะเริ่มส่งข่าวให้กับบางคนที่น่าจะร่วมมือกับเรา และไว้ใจได้”
“ฮะฮ้า! ขอบใจมากสมจอห์นเพื่อนรัก คุณ และเอกสารเหล่านี้ช่วยเราได้มากอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วย ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพ่อของคุณเลือกวิธีการขุดอุโมงค์ ที่พวกโจรปล้นธนาคารใช้กันในยุคศตวรรษที่ 20 เชย! แต่ก็ใช้ได้ผลมานักต่อนักแล้ว พวกเรามัวแต่ป้องกันกันแต่บนฟ้า และภาคพื้นดิน พ่อของคุณนี่มาเหนือเมฆจริงๆ ไม่ใช่สิต้องพูดว่ามาใต้ดินถึงจะถูก” เพื่อนของสมจอห์นยิ้มระรื่น แล้วกระชากหัวเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติทั้งหมดที่ยังหลงเหลือในมือของสมจอห์นเข้ามาอยู่ในครอบครองของตนเองทั้งหมด
“เรา? คุณหมายถึง?”
“อย่างที่คุณคิดนะแหล่ะสมจอห์น ผมร้อยตำรวจเอกประชาเป็นสายลับของหน่วยคัดสรรผลงานนอกรีตปลอมตัวมา สำหรับการปฏิวัติครั้งนี้ของคุณ ผมเองที่เป็นหนอนบ่อนไส้ คุณไว้ใจเพื่อนมากเกินไปเหมือนพ่อของคุณจริงๆ น่าสมเพศ พ่อของคุณที่ตายไป คงจะโง่ไม่ต่างจากคุณตอนนี้เลย ฮ่าๆ ”
สมจอห์นถูกบังคับให้ขึ้นไปบริเวณส่วนของห้องแสดงงานศิลปะ ประชากำลังจะนำตัวเขาไปยังสถานีตำรวจข้อหาคิดกบฏต่อประเทศ ในขณะเดียวกันที่บุคคลที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อคณะปฏิวัติครั้งก่อน 5-6 คนกรูเข้ามาภายในห้องแสดงงานศิลปะ และจ่อปืนขึ้นไปยังทั้งคู่
“มันจบลงแล้วจริงๆ ประชา” สมจอห์นส่ายหน้าช้าๆ “ผมเสียใจกับคุณจริงๆ การปฏิวัติจบลงแล้ว แต่จบลงด้วยความสำเร็จ!”
“พวกเรา ลงมือก่อการปฏิวัติไปแล้วก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะมาเอาภาพเขียนชุดไตรสูรย์ไป และตอนนี้ก็สำเร็จลงไปแล้ว ผมเสียใจด้วยนะประชา คุณคิดว่าชีวิตมันง่ายอย่างที่ผมพูดจริงๆ หรือ คุณตกหลุมแม้กระทั่งแผนผังโครงสร้างอาคารที่ทำขึ้นมาจากโปรแกรมโบราณอย่าง Photoshop และทำให้มันดูเก่าลงแค่นั้น คุณตกหลุมแม้กระทั่งกุญแจในแจกัน ผมว่าผมคิดตื้นๆ แล้วนะ กุญแจในแจกัน หลายปีที่ผ่านมาสนิมไม่ขึ้นหมดเหรอ แต่คุณก็เชื่ออย่างเต็มเปา” สมจอห์นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “ผมและกลุ่มผู้ปฏิวัติระแคะระคายคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณแสดงตัวว่าเป็นศิลปิน แล้วมาร่วมมือกับผมเล้ว ผมถามจริงๆ เถอะ ผมยังไม่เคยเห็นงานศิลปะจริงๆ ของคุณแม้แต่ชิ้นเดียว ศิลปินหน่ะไม่ใช่แค่บอกว่าตัวข้าเป็น แต่ไม่เคยผลิตผลงานอะไรออกมาหรอกนะ พวกเราทุกคนรักที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะ ไม่ใช่เอาแต่คิดวิเคราะห์อย่างที่คุณแสดงออกมาตลอดเวลา อยากดูข่าวการปฏิวัติหน่อยไหม? ฮ่าๆๆ ห้องลับมันไม่มีทีวีให้คุณดูมานานแล้วซินะ หมกตัวตามผมแจอย่างนั้น”

ภาพเขียนชุด “ไตรสูรย์” ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ถูกยกขึ้นสู่ผนังของห้องแสดงภาพใจกลางมหานครนายก ปรากฏให้เห็นเป็นภาพของผนังสีขาวสลับกับภาพเขียนสวยสดงดงาม แสงไฟสีส้มจากโคมไฟสีเงินที่ยื่นตัวออกมาจากผนัง สาดส่องปัจจุบันกาล และอนาคตกาลของรูปเขียน ปกปิดรอยด่างของฝุ่นโดยการวางทับไว้โดยภาพเขียนชุดยิ่งใหญ่ของโลก ภาพเขียนดูสวยงามจนคล้ายจะยืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจในตัวมันเอง
พร้อมกับภาพเขียน งานปั้น งานวรรณกรรม งานดนตรี ฯลฯ นับร้อยกว่าชิ้นที่รอดจากการถูกทำลาย ส่งกระจายไปทั่วประเทศ

มหานครนายก พ.ศ. 2626.12(3(3(3)))

น้ำเสียงหวานฉ่ำแต่บาดคมของทรัมเปตขับกล่อมทั่วบริเวณอาคาร “และแล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้!” น้ำตาของสมจอห์นเอ่อล้นลงมากองที่ขอบตานึกไปว่าถ้าวันนี้พ่อของเขายังคงอยู่ คงจะได้ร่วมในงานเปิดห้องแสดงงานศิลปะในครั้งนี้เป็นแน่ และพ่อจะต้องมีความสุขจนน้ำตาเอ่อล้นออกมาที่ขอบตาอย่างเขาในวันนี้ไม่ผิดแผก
สมจอห์นกวาดสายตาทั้วบริเวณทางเข้า น้ำเสียงของทรัมเปตในกำมือของผู้ชายที่ชื่อคริส บ็อตติ (Chris Botti) ยังสอดประสานรับกับเสียงเปียโนอย่างเป็นกันเอง และคล้ายจะหลอกล้อกับสมจอห์น เขาเลือกที่จะเล่นเพลง What’s New ของบ็อตติเพื่อสื่อความหมายถึงความใหม่ และความหวังที่จะตามมาหลังจากวันคืนอันโหดร้าย และอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวของความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี (free will) ของผองเพื่อนที่ถูกกดทับมาเนิ่นนานตลอดช่วงการปกครองที่ผ่านมา ฟ้าจะใสหลังฝนตก หาดทรายจะขาวหลังถูกคลื่นยักษ์ซัดถล่มเป็นแน่พ่อเคยบอกกับเขา
ประตูห้องแสดงภาพถูกเปิดออกแล้ว ในช่วงห้วงสุดท้ายของเสียงทรัมเปตจบลงพอดิบพอดี เสียงเพลงมหาชัยขับขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแห่งสถานที่ และความฝันของศิลปิน ช่วยให้งานเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ของวงการศิลปะดูครึกครื้นขึ้นบ้าง ชั่วอึดใจผู้ชายและผู้หญิง 2 ถึง 3 คนพากันเดินเข้าสู่ภายในบริเวณ...



----------------------------------------------------------------------------------------------
* อาร์ตนูโว (Art Nuveau) ศิลปะที่แสดงความเคลื่อนไหว (free flowing movement) ก่อให้เกิดความ มีชีวิตชีวา และความเสน่หา
** เทคโนโลยีนิยม ดัดแปลงมาจากรัฐนิยม สมัยท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม
*** SEA Write มาจาก Southeast Asian Writers' Award หมายถึง รางวัลวรรณกรรมที่มอบ ให้แก่ นักเขียน 10 ประเทศอาเซียน มีที่มาจากฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลจริง โดยทางโรงแรมมีประวัติเกี่ยวข้องกับนักเขียนชั้นนำของโลกหลายต่อหลายคน และหลายต่อหลายยุคสมัยจะเห็นได้จากการที่จัดส่วนหนึ่งเป็น " ตึกนักเขียน" (Authors' Residence) ที่ประกอบด้วยห้องชุดพิเศษ โดยใช้ชื่อนักเขียนโด่งดังหลายคนที่เคยมาพักเป็นชื่อห้อง ท่านพระยาประพันธ์ สีไร ไม่เคยมีตัวตนจริงในโลกใบนี้ หรืออาจมี?
**** คอมมิวติสต์ ดัดแปลงมาจากแนวความคิดคอมมิวนิสต์ของลัทธิมาร์กซ


21 September 2006

-: ยืนต้น :-

ยืนต้น

คืนหนึ่ง...
ฝนร่วงรด หยดสาด เป็นหยาดสาย
เสียงฟ้าร้อง ก้องกำจาย อยู่ครามครั่น
ฟ้าแลบเล่น เส้นร้าว พาดยาว-พลัน
มนุษย์คว้า สุริยัน ลงจุ่มโคลน

ความมืดหม่น หล่นมัว ลงทั่วฟ้า
เห็นดารา เรียงห้อย ขึ้นร้อยโหน
หยาดน้ำรด หยดน้ำหลาก กระชากโยน
มนุษย์ร้อง ก้องตะโกน แล้วถูกกลืน

ภาพโล่งเตียน เลี่ยนตา ขึ้นปรากฏ
ป่าเลือนลด หมดฝัน ไม่ทันฝืน
มนุษย์ลัก หักหั่น ทุกวันคืน
เหลือแต่ยืน ตอตาย อยู่ปลายไพร


เช้าสอง...
ป่ากลับ ปรับคืน สู่ผืนป่า?
ยืนต้น ตรงตา ให้มองได้?
แข็งขืน ยืนเด่น เห็นแต่ไกล?
มนุษย์เพียง ย้ายไว้ เข้าในเมือง?

กิ่งตึก เกลื่อนตา ระฟ้ากว้าง
ก่อสร้าง แผ่รากไกล โดยใช้เครื่อง
โตสูง ใหญ่สวย ด้วยฟันเฝือง
ต้นเขื่อง เรียงล้น จนสุดแปลง

อาทิตย์ไล้ ไออุ่น อรุณรุ่ง
ภาพเมืองกรุง เผยช่อ ขึ้นล้อแสง
ชีวิตต่อ ชีวิตตื่น ผืนฟ้าแจง
สุรีย์แจ้ง แสงเจิด เปิดฉากวัน

บุปผาโผล่ โล้ลม ชมผืนฟ้า
หมู่นกกา ขยับยืน ตื่นจากฝัน
ดาวเดือนส่ง ลงฟ้า ลาตะวัน
น้ำค้างกลั่น ประกายทอง ละอองไอ

แมลงปอ ล้อขยับ จับปลายหญ้า
กิ่งตึก แกว่งกายา โล้ลมไหว
ไอป่าโปรย โชยกรุ่น ละมุนละไม
มนุษย์ไส ตะวันพ้น ก้นบ่อโคลน


18 September 2006

-: โลกหมุนรอบตัวเองบนเศษกระดาษ :-

โลกหมุนรอบตัวเองบนเศษกระดาษ

รูปภาพโดย Corey Allen
“ถ้าวันหนึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ บังเอิญไปแอบนอนหลับอยู่ใต้กิ่งของต้นอโศกแล้วถูกผีเวตาลตกใส่หัวจนค้นพบทฤษฎีแหกคอกความเชื่อของมนุษย์ว่าผีก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูดเหมือนกัน”

“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เกิด โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก” อีริคกล่าวขึ้นเพื่อทำลายกลุ่มก้อนความเงียบ ที่ปกคลุมโต๊ะอาหาร ไฟสลัว ส่งแสงฉายจับทุกรายละเอียดของความมืด สม่ำเสมอทั่วกันภายในบริเวณร้าน อาจจะแตกต่างไม่กี่มากน้อยตรงบริเวณกลุ่มนักดนตรีที่กำลังบรรเลงความทุ้มสลับแหลมคมของเพลงแจ็สบนเวที ถัดจากโต๊ะของทั้งคู่ไปไม่ไกลนัก

“เรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้!” เขากล่าวยืนยันความหนักแน่นในเนื้อความของกลุ่มคำพูดแรกที่เพิ่งจะโปรยออกจากปากของเขาไป อาจเนื่องจากเกรงว่าความน่าเชื่อถือจะถูกลดหย่อนลงไปด้วยความพริ้วไหวของดนตรีสร้างสรรค์ไร้ขอบเขตที่แว่วมาจากบนเวที
“เมื่อก่อนก็ไม่เคยมีใครเชื่อกาลิเลโอว่าโลกแบนๆ จะแปลงร่างเป็นผลส้มแป้นกลมเกือบกลึง จนศิษย์เอกอย่างโคลัมบัสเดินทางออกทะเล จนพิสูจน์ความแป้นของผลโลกได้ ใช่ไหม? แล้วคราวที่ไม่มีใครเชื่อว่าสองพี่น้องตระกูลไรท์จะทำให้วัตถุที่หนักกว่าอากาศลอยละลิ่วได้อย่างกับนก ก็เพราะตอนนั้นเรื่องไร้สาระแบบนี้ มันพิสูจน์ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ หรือเรื่องแบบนั้นมันไม่น่าจะเกิดขึ้น หืม! น่าสงสารนักวิทยาศาสตร์หน้าแตกเหล่านั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าโดนเศษหน้า บาดหน้าไปกี่แผลแล้ว” ผมหัวเราะเสียงดังขึ้นเจือจางรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าอีริค ไปจนเกือบหมด

บทสนทนาเกิดขึ้นในร้านอาหารกึ่งผับชื่อดังย่านอโศก ที่แห่งนี้เป็นที่ประจำที่ผมกับอีริคนักวิทยาศาสตร์ปริญญาโทหนุ่มไฟแรง ผู้บูชาทุกอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ และสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสร้างผลงานวิจัยเพื่อเลื่อนระดับตำแหน่งทางวิชาการของตัวเองไปเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ อาจดูแตกต่างเล็กน้อยกับผม... ครีเอทีฟธรรมดาๆ ที่กระตุ้นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งใดที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ นั่นอาจจะไม่ได้เป็นข้อกำหนดเพื่อระลึกเตือนใจว่าสิ่งนั่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นบนขอบเขตของจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ได้อย่างแน่นอน ผมอาจจะมีฐานะทางสังคมเทียบเท่าอะไรกับอีริคไม่ได้แม้แต่น้อย หลายครั้งผมพยายามแต่งตั้งตัวเองให้เป็นเพื่อนผู้ช่วยประธานบริษัท รองผู้ช่วยฝ่ายวางแผนโฆษณา แต่ก็ไม่รู้จะแต่งตั้งไปทำไมในเมื่อมันก็คือไอ้ผู้ช่วย! ที่ต้องคอยช่วยงานหัวหน้าไปวันๆ จนกว่าเจ้านายจะเห็นแววนั่นเอง หรือตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์จะโก้เก๋กว่าจริงๆ? (ผมเคยได้ยินมาว่านักวิทยาศาสตร์ กับครีเอทีฟก็คือบุคคลช่างคิด ช่างสงสัยเหมือนกันทั้งคู่ และต่างต้องคิดสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ที่ตนเองสงสัย เพียงแต่โจทย์ ผลลัพธ์ และวิธีการคิดค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกที่ภูเขาลูกหนึ่งเกิดจากการชนกันของแผ่นดินดันโป่งปูดขึ้นเป็นภูเขา กับอีกลูกที่แผ่นดินยุบลดหลั่นกันกลายเป็นเหว แต่มันก็เป็นภูเขาบนพื้นโลกทั้งคู่ไม่ใช่หรือ?)

ผมกับอีริคบังเอิญพบ และสนิมสนมกันที่ผับแห่งนี้ โดยเราทั้งคู่ต่างมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ในเรื่องของการถกเถียง และยกเหตุผล ข้อมูล หรือแนวความคิดขึ้นมาอ้างใส่กันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันในเรื่องราว หรือเหตุการณ์หนึ่งๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นของตนเอง จนบางครั้งหลายคนรอบข้างคู่หูเพื่อนซี้ 2 คนนี้ หากไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแล้ว เกือบแทบจะทุกเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น ตั้งแต่การเมืองยันเรื่องชาวบ้าน คงอาจจะไม่แปลกใจถึงการต่อล้อต่อเถียงส่งเสียงดังนี้ ว่าคือการก่อวิวาท
น่าสงสัยก็เพียงแต่... มิตรภาพของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยจะมีความคิดเห็นตรงกัน
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องสนุกระหว่างเราสองคนเกิดขึ้น และดำเนินไป…

“ไม่แน่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ผี, มนุษย์ต่างดาว, ไสยศาสตร์-มนต์ดำ, ชีวิตหลังความตาย, ศาสนา-ความเชื่อ, นรก-สวรรค์ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปก็ได้ ถ้าวันหนึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆ บังเอิญไปแอบนอนหลับอยู่ใต้กิ่งของต้นอโศกแล้วถูกผีเวตาลตกใส่หัวจนค้นพบทฤษฎีแหกคอกความเชื่อของมนุษย์ว่าผีก็อยู่ภายใต้แรงดึงดูดเหมือนกัน เชื่อผมสิอีริค ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ แม้จะไม่มีสิ่งใดมาพิสูจน์ มันน่าตื่นเต้นไม่ใช่เหรอที่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เป็นปริศนา ให้ขบให้คิด ไม่งั้นเราก็รู้ทุกอย่าง น่าเบื่อแย่”
“ถึงตอนนั้นอย่ามายืมหนังสือตำราฟิสิกส์มนต์ดำ หรือพวกชีววิญญาโณเทคโนโลยีของผมละกันนะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะลงลูกคอเอิ๊กๆ ตามจังหวะของท่วงทำนองเพลงแจ็สที่บรรเลงอยู่ด้วยความบังเอิญ บังเอิญอย่างที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้

ผมเคยบอกกับอีริคว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ตัวดีที่เข้ามาสร้างกฎกรอบให้กับความคิดและการดำรงชีวิตประจำวัน มันเที่ยวบังคับขู่เข็นให้ใครๆ คอยเชื่อ และเคลิ้มตามไปกับความหนักแน่นของข้อมูล และหลักฐานมากมาย เยอะจนมี 12 ตาก็เก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ
“มนุษย์มี 12 ตาไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์มองโลกแบบ 3 มิติ ซึ่งจำนวนการรับภาพด้วยดวงตา 2 ดวงนั้นเพียงพอแล้ว” อีริคกล่าวอย่างกัดกวน

อีริคเคยบอกกับผมว่าวิทยาศาสตร์แฟงตัวอยู่ในทุกซอกหลืบของทุกสิ่งทุกอย่าง สวยงามคล้ายกับการที่ผมยืนยันถึงการดำรงอยู่ของศิลปะแขนงต่างๆ ทั่วทุกอณูของทุกสรรพสิ่ง หากเปรียบเทียบศิลปะกับความไร้ขอบเขต วิทยาศาสตร์ก็คงเป็นขอบฝั่งที่ช่วยพยุงไม่ให้มนุษย์จมน้ำตาย ช่วยเปิดหูเปิดตา พาคนให้พ้นขึ้นมาจากความไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้... ความน่าหลงใหลในศาสตร์ของ Science อยู่ที่การจะเปิดโลกมุมใหม่ให้กับเรื่องทุกเรื่อง ยืนยัน และหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ เพื่อที่จะหยุดความโง่เขลา และความเชื่อในสิ่งที่ไม่มีตัวตน แน่นอนหล่ะว่าถ้ามนุษย์ฉลาดขึ้น โลกก็ย่อมจะพัฒนามากขึ้น
“พัฒนาจนมนุษย์มี 12 ตาไม่ได้เหรอ?” ผมถาม....

“อย่างเรื่องใกล้ๆ ตัวเลยนะอีริค ไม่น่าแปลกหรือที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ความลึกลับของกลุ่มก้อนพลังงาน ภาวะการดำรงอยู่ของจิต ภาพหลอน ผี วิญญาณ หรืออะไรก็ตามแต่ที่วิทยาศาสตร์นิยมที่จะเรียกกันนั่นแหล่ะ ทั้งๆ ที่เรื่องราวเหล่านี้กับวนเวียนอยู่ในสังคมทุกๆ ชนชาติ จนทำให้เกิดเป็นหนังดังทำเงินดีของ Hollywood มาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว นี่ขนาดสังคมอเมริกันที่ไม่บูชาผีอย่างออกนอกหน้าเหมือนเรานะเนี่ย! ไม่น่าแปลกเหรอที่เรื่องราวเหล่านี้ต้องน่าจะเคยผ่านหูผ่านตา มนุษย์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์บนโลกแป้นๆ ใบนี้ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่มีจริงในโลก? บางทีเรากับพวกผีอาจจะสนิทชิดเชื้อกันจนแทบจะ เดินสวนไหล่กันเลยก็ได้ เพียงแต่พวกเขาไม่บอกว่าเขาเป็นผี?”

ผมมองขึ้นไปตามร่องลึกบนใบหน้าของอีริค พักนี้เขาดูแก่ลงไปมากคงเป็นเพราะเหนื่อยกับอยู่กับการเร่งงานวิจัยชิ้นสำคัญอยู่ “คิดเล่นๆ ว่าหมามันสามารถมองได้ในระบบสองมิติ แล้วมนุษย์มองได้ในระบบสามมิติอย่างที่คุณบอก เวลามีลูกบอลเด้งเขาหาหน้าหมา มันก็จะเห็นเป็นจุดที่มีรัศมีเล็กๆ แล้วแผ่รัศมีกว้างขึ้น เมื่อลูกบอลพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้น หมามันไม่เห็นความลึกของวัตถุ ยิ่งสีสันยิ่งแล้วใหญ่ มันก็อาจจะตกใจว่าลูกบอลคือจุดบ้าอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ผีอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้แหล่ะ แต่อาจจะอยู่ในระบบ 10 มิติ ที่วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ หรือรู้แล้วแต่ประสาทสัมผัสเท่าที่มนุษย์มีมันด้อยเกินกว่าจะรับรู้ได้ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าผีเป็นสัตว์ที่ออกหากินกลางคืน พอเวลาเกิดหิวขึ้นมา ก็เดินผ่านเราไปหาอาหารกินที่ข้างป่าช้า เพราะแร่ธาตุมันเยอะดี กินแล้วอิ่มอร่อย แล้วคนก็เผลอไปเห็นแว่บๆ ในบางมิติที่เราสามารถรับรู้ได้ หรือบางทีคนตกใจผี... ก็เหมือนหมาที่ตกใจจุดลูกบอล?” ผมลองออกความเห็นที่อีริคคงจะตอกกลับมาได้ว่าเป็นแนวความคิดสยองขวัญสั่นประสาทส่วนกลาง และดูเหมือนผมจะคิดไม่ผิด

“น่าเอาไปทำหนังนะ เพ้อฝันมากคุณนี่! ผีมันเป็นเพียงแค่ความเชื่อแบบปากต่อปาก ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มคน ในสังคมไม่กี่สังคม เรื่องที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้วิ่งกระจายเร็วนักในสังคมที่ยังขาดความเจริญ และความไม่มั่นคงทางภาวะของจิตใจ มันก็แค่เรื่องที่จะทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกเกิดคำถามว่าเขาเกิดมาทำไม? จึงหันหน้าไปพึ่งความเชื่อ ศาสนา อะไรพวกนั้น! และยิ่งภาวะของสมองคิดจริงจังจนเชื่อไปทั้งใจแบบนั้นด้วยแล้ว พอช่วงเวลา สถานที่ หรือเหตุการณ์เป็นใจเข้านิดหน่อย ก็ตีโพยตีพายว่า กูถูกผีหลอก! กูเห็นผี! อะไรอย่างนั้นถมเถไป”

“จะว่าไปแล้ว คุณอย่าหาว่าผมเป็นคนเถื่อน คนนอกศาสนาอะไรแบบนั้นเลยนะ ผมเพียงหมดศรัทธากับศาสนาพุทธในบ้านเราเท่านั้นเอง พูดกันโครมๆ ว่าเราเป็นคนพุทธแต่ไม่ยักกะเข้าวัดทำบุญ แค่ศิล 5 ข้อยังรักษากันไม่ได้เลย แต่ดันไปออกกฎหมายกันเป็นเล่มๆ หลงเชื่อในเรื่องผี บูชารูปเคารพ ห้อยพระเครื่องเต็มคอ แห่กันไปกราบไหว้ไอ้ที่เขานิยมเรียกกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่แค่ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ละเลยกันแล้ว ความจริงผม และเพื่อนๆ ที่มหาลัยที่เป็นคนตะวันตกหลายคน นับถือพระพุทธองค์ท่านเป็นอาจารย์ของสาขาวิทยาศาสตร์เลยนะ ที่ท่านให้ตั้งสมมุติฐานหาเหตุ ให้ทำการทดลองหาผล และเตือนให้อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าไม่ได้รับการพิสูจน์ก่อน1 แม้แต่อย่าเชื่อในตัวของพระพุทธเจ้าท่านเอง จนกว่าเราจะได้ปฏิบัติ และเห็นผลของมันด้วยตัวเองจริงๆ แต่ที่เมืองไทยนี่มันศาสนาพุทธตรงไหนผมยังดูไม่ออก เห็นทีวันหลังจะต้องลองวิจัยดู” อีริคตัดพ้อ ซึ่งมันก็เป็นความจริง ผมได้แต่ยิ้มยอมรับอย่างอายๆ

“จริงอยู่ที่ ณ เวลาปัจจุบัน วิทยาศาสตร์อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผีมีจริงหรือไม่! อันนี้ผมยอมรับ แต่ทางกลับกันปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าผี ปีศาจ อะไรเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในสมองของมนุษย์ที่อ้างว่าเคยพบเคยเจอ วิทยาศาสตร์สามารถยกข้อพิสูจน์ง่ายๆ ว่าผีไม่มีในโลกแน่นอน!”
“แล้วนอกโลกหล่ะ?” ผมถาม อีริคสะดุ้งก่อนจะพูดต่อไป
“การที่มนุษย์เราเห็นผี ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ มักจะเห็นในเวลากลางคืน และในที่เปลี่ยวๆ น้อยคนนักที่จะร้องโวยวายตีโพยตีพายกลางสยามสแควร์ตอนกลางวันแสกๆ ว่าผีหลอกโว้ย!! นอกจากจะตกใจในสินค้าราคาแสนแพง หรือพวกที่อยู่ในจังหวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เรื่องเหล่านี่วิทยาศาสตร์อธิบายได้อย่างง่ายๆ ว่าสมองของมนุษย์มีความสามารถพิเศษ ที่คนเรายังรีดเฟ้นเอาออกมาใช้ได้ไม่เต็มที่ แต่ในช่วงภาวะที่ร่างกายหลั่งเคมีบางชนิด ในภาวะความกลัวสุดขีด สมองสามารถขยับพลังการทำงานขึ้นมาได้จากเดิม สร้างภาพจินตนาการเหมือนจริงขึ้นมาเป็นรูปร่างคน เป็นผี ปีศาจได้ตามที่เรากำลังวิตกกังวลอยู่ได้อย่างง่ายดาย เหมือนของจริงเสียอย่างกับผีหลอก!”
“แม้แต่ลมพัด หมาหอนหาคู่ ส่งข่าวกันตามอัธยาศัย ก็เพราะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มนุษย์จับโยงเข้ากับเรื่องผี เรื่องสางได้อย่างแนบเนียน อย่าดูถูกความสามารถของสมองมนุษย์นะเพื่อน! ผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่าถ้าผีมีอยู่จริง มหานครลอนดอนก็สามารถวางอยู่บนฝ่ามือของผมได้สบายๆ...”
“แล้วไม่หนักมือแย่เหรอ?” ผมถาม
อีริคสะดุ้ง!!

เสียงเพลง The Prettiest Thing ของ Norah Jones ดังเอื่อยนุ่ม ละมุนฟุ้งคล้ายกับกำลังปลิวไปในสายลม ใครหลายคนคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นนี้


The prettiest thing
I ever did see
Was lightening from the top of a cloud
Moving through the dark a million miles an hour
With somewhere to be

So why does it seem
Like a picture
Hanging up on someone else's wall
Lately I haven't been myself at all
It's heavy on my mind

I'm dreaming again
Like I've always been
And way down low I know


บรรยากาศภายในร้านวันนี้ดูซึมหงอยคล้ายเหม่อลอยตามเสียงครางเศร้าของนักร้อง หลายคืนมานี้ตำแหน่งมุมห้องตรงโต๊ะประจำของผมกับอีริค ดูเหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง
เสียงเพลงในวันนี้อาจจะดังขึ้นในข้อสังเกตของเพื่อนร่วมร้าน หากแต่มันยังคงดังเท่าเดิม ไม่มีใครเผลอ หรือเล่นซนแอบไปปรับเอาเสียงของลำโพง โต๊ะตรงมุมห้องกับผมช่วยกันถอนหายใจเล่นตามจังหวะเสียงดนตรี เหนื่อยนักก็พักหายใจตามปรกติ อีริคไม่มาร่วมดื่มกับผมอีกแล้วในคืนนี้ หลายอาทิตย์เข้าไปแล้วที่ตำแหน่งคนตรงข้ามผมว่างเปล่า เก้าอี้แอบถอนหายใจเล่นอีกครั้ง เสียงดนตรีคงรู้สึกเหมือนตัวเองดังขึ้นเพราะขาดเสียงต่อล้อต่อเถียงโหวกเหวกโวยวายระหว่างผมกับอีริคที่เข้าแข่งด้วยอีกคืน
ป่านนี้เขาคงกำลังง่วนกับงานวิจัยของเขาอยู่ ผมก็ได้แต่แอบลุ้นว่าจะได้ครองตำแหน่งเพื่อนผู้ช่วยศาสตราจารย์ในไม่ช้า

อีริคเคยเล่าให้ฟังถึงข้อสมมุติฐานที่เขาจะต้องพิสูจน์เพื่อเขียนรายงานวิจัยออกเผยแพร่ตีพิมพ์ เผื่อยกระดับตำแหน่งทางวิชาการของเขาให้เขยิบสูงขึ้นอย่างที่เขามักจะพูดให้ฟังบ่อยครั้ง เขาเหลือแต่งานวิจัยชิ้นนี้อย่างเดียวแล้วในตอนนี้ที่จะเป็นตัวตัดสินผลคะแนนที่จะขยับฝันของเขา และแน่นอนว่านอกจากการได้ทำตามความฝันส่วนตัวแล้ว โอกาสทางหน้าที่การงาน และเงินทองที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองที่เป็นตัวผลักดันให้เขาทุ่มเทกับงานวิจัยในครั้งนี้อย่างมาก และนี้ก็เคยเป็นประเด็นในการเล่นล้อต่อเติมเสริมขัดระหว่างผมกับอีริคอยู่หลายครั้งเช่นเดียวกัน
“เงินทองไม่มีผลอะไรกับชีวิตหรอก ถ้าเราได้อยู่ใกล้ความฝัน” ผมกล่าวขึ้นกับอีริคในคืนวันหนึ่ง
“มนุษย์เราไม่เคยรู้จักพอหรอก... เมื่อเราได้สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจมาครองแล้ว เดี๋ยวมันก็มีสิ่งอื่นเข้ามาให้เราตามคว้าอีกแน่นอน” อีริคแย้ง แล้วย้อนขึ้น
“คุณจำครั้งแรกที่เราพบกันได้ไหม? คุณบ่นให้ผมฟังว่า คุณอยากจะเป็นนักคิด นักเขียน ให้ได้ในสักวันหนึ่ง มันเป็นความฝันของคุณใช่ไหม? แล้ววันนี้คุณมีโอกาสได้เข้าไปทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา... อย่าเถียงผมนะว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับการได้คิดๆ ขีดๆ เขียนๆ ของคุณ แล้วหลังจากนั้นไม่นานคุณก็เล่าให้ผมฟังว่าคุณมีความฝันจะเปิดบริษัทของตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรหรอก ผมเองก็เป็น... เชื่อสิใครๆ ทั้งโลกก็เป็น ซึ่งหากเราจะเรียกมันให้หอมหวานกว่าคำว่าไม่รู้จักพอเสียหน่อย”
“มันก็คือความทะเยอทะยานของมนุษย์นี้เอง” อีริคยิ้ม
“แต่ว่า! ...” ผมเริ่มต้นการเถียงเพื่อหาข้อมูลอื่นมาหักล้างตามนิสัย ทั้งๆ ที่ผมก็เห็นด้วยอย่างเต็มเปา
ปากกำลังเถียง แต่ใจของผมกับอีริคกำลังยิ้ม!!!

งานวิจัยของอีริคเกี่ยวกับชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกมนุษย์อยู่ อีริคเล่าให้ฟังว่าตามปรกติแล้วอากาศที่อยู่รอบๆ ตัวเราสูงขึ้นไปจนท่วมถึงท้องฟ้า เราจะเรียกกันว่าชั้นบรรยากาศ มีส่วนผสมเป็นไอน้ำ และกลุ่มก๊าซหลายชนิด ส่วนผสมที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ ก็ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป เช่นบริเวณติดทะเลก็จะมีไอน้ำผสมอยู่มาก ทำให้เกิดฝนตกบ่อยครั้ง อากาศบนยอดเขามีส่วนผสมของออกซิเจนเบาบาง การผสมกันของส่วนผสมต่างๆ ในหลายที่ก็ก่อให้เกิดอากาศเสีย

นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ชั้นโทรโพสเฟียร์สูงจากพื้นดินไปประมาณ 10 – 12 ก.ม. ชั้นนี้อีริคบอกว่าเป็นชั้นที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมาย เช่นพายุ แดดออก มืดหมอก ฝนตก หมูสามหาง ช้างหกหู ต้นชมพู่ออกลูกเป็นลิง อันหลังๆ นี่ผมเติมเอาเองเพราะเดาเอาว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และความเชื่อบ้างไม่มากก็น้อย จากการที่ได้พบเห็นเพื่อมนุษย์แห่นางแมวขอฝน หรือปักตะใคร้ไล่ฝน บังคับข่มขู่ธรรมชาติได้สำเร็จเป็นว่าเล่น ชั้นนี้อีริคว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว
ชั้นที่สองชื่อชั้นสตราโทสเฟียร์สูงจากพื้นดิน 50 – 55 ก.ม. ชั้นนี้ที่ช่วยในการดูดซับแสงอัลตร้าไวโอเล็ต โดยชั้นนี้มีส่วนผสมของโอโซนอยู่ด้วย ชั้นนี้อีริคว่ายิ่งสูงยิ่งร้อน
ชั้นที่สามสูงขึ้นไปจากพื้นดิน 85 ก.ม. ชื่อเมโซสเฟียร์ ชั้นนี้หักมุมอีกแล้ว เพราะอีริคบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวอีกครั้ง

ชั้นสุดท้ายคือชั้นเทอร์มอสเฟียร์ ชั้นนี้มีประจุไฟฟ้าวิ่งเล่นกันสนุกสนาน อีริคบอกว่าชั้นนี้ใช้ในการสื่อสารเพราะสามารถสะท้อนคลื่นวิทยุคลื่นสั้นได้ ทำให้รู้ว่าบรรยากาศชั้นนี้นาทีละ 3 บาท น่าแปลกใจอีกครั้งที่ชั้นนี้ยิ่งสูงยิ่งร้อน น่าสงสารมนุษย์อวกาศ และมนุษย์ต่างดาว ต้องมารู้จักกับชั้นบรรยากาศขี้โลเลเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว จะเข้าออกโลกแต่ละทีคงจับไข้กันจนเหนื่อย

“ผมเชื่อว่าในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มเราอยู่นี้ น่าจะมีส่วนผสมของอะไรสักอย่างที่ทำให้มนุษย์ในแต่ละมุมโลกคิดเห็นแตกต่างกัน เคมีจากชั้นบรรยากาศน่าจะมีผลกระทบโดยตรงกับเคมีในร่างกาย ทำให้มนุษย์มีพละกำลัง สภาพร่างกาย ระบบความคิด ความเชื่อที่ออกไปในแนวทางที่แตกต่างกันในต่างบริเวณ และคล้ายคลึงกันในมนุษย์ที่อยู่ร่วมบริเวณใกล้ๆ กัน... และนี้คือหน้าที่ของผมที่ต้องค้นคว้า และพิสูจน์มัน” อีริคมีท่าทีแววตามุ่งมั่นเมื่อเล่าจบ มุ่งมั่นจนคราวนี้ผมไม่กล้าเอ่ยเถียง


ผมนั่งอยู่กับความเงียบภายในใจตัวเองครู่ใหญ่ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมรู้สึกว่าโลกหมุนช้าลงไปมาก ผมใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าจะเช้าตรู่ จะตกเย็นไปทำไม ปัญหานี้คงเป็นปัญหาโลกแตกยิ่งกว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันของมนุษย์หลายคน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องมีชีวิตไปเพื่ออะไร ในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องตาย ทำงานหนักเก็บเงินกันแทบตายพอแก่ตัวลงกำลังจะได้เอาเงินที่หาได้มาใช้ ก็ดันแก่ตายไปเสียก่อน นี่ยังไม่นับไอ้พวกที่ชิงหมาตายไปตั้งแต่ยังไม่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง แล้วเราจะอยู่ไปบนโลกนี้เพื่ออะไรกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหงา...

เสียงโทรศัพท์ดังปลุกผมขึ้นจากความเหงา “อีริคโทรมานี่!!” ความตื่นเต้น และดีใจวิ่งถาโถมเข้าใส่สุดกำลัง
“คุณอยู่ที่ร้านใช่ไหม? เป็นไงบ้างไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว” เสียงอีริคลอยออกมาจากโทรศัพท์
“ใช่! ผมนั่งดื่มคนเดียวมาหลายวันแล้ว เหงาหว่ะ! แล้วคุณหล่ะ งานวิจัยชิ้นเอกไปถึงไหนแล้ว ว่าที่เจ้าของรางวัลโนเบล…” ผมแกล้งกระเซ้าเสียงระรื่น แต่เสียงอีริคกับกลายเป็นตรงกันข้าม
“แค่อิคโนเบล2 ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้หรือเปล่า? งานวิจัยไม่คืบหน้าเลยทั้งๆ ที่ผมพยายามเต็มที่แล้วกำหนดต้องส่งก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมเหนื่อยเหลือเกิน ท้อก็ท้อ ผมไม่ไหวแล้ว...” อีริคปล่อยโฮออกมา ทำเอาผมใจเสียไปด้วย
“เดี๋ยวผมไปหาคุณละกันที่มหาฯลัยละกัน ใจเย็นๆ!”

โต๊ะทำงานของอีริคตั้งอยู่ในห้องทดลองคณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมาถึงห้องทดลองเร็วกว่าที่คาดไว้คงเพราะเป็นช่วงกลางดึกที่รถบนถนนเบาบางลงไปมากแล้ว เช่นเดียวกับที่นี่ที่เงียบ และมืดปราศจากผู้คน ภายในห้องอีริคในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังนั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงาน กองหนังสือกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดทั่วบริเวณห้องทดลอง อุปกรณ์หลายชิ้นกำลังส่งเสียงดังกระหึ่ม สภาพอีริคดูแย่ลงไปมากนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน ผมเคาะประตูที่เปิดอ้าอยู่นั้นเบาๆ เพื่อเรียกอีริคขึ้นมาจากการฟุบโต๊ะ

อีริคเงยหน้าขึ้นมา หน้าตาของเขาดูซีดเซียวคล้ายคนป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่างแต่กำลังอยู่ในช่วงระยะสุดท้าย เขาเรียกให้ผมนั่ง หลังจากกล่าวทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันและกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีริคก็เริ่มกล่าวเสียงเครือขึ้น
“ผมคิดอะไรไม่ออกเลยจริง ทั้งๆ ที่ผมก็พยายามเต็มที่แล้วนะ ผมมีความสุข และหวังกับงานนี้มาก แต่ดูเหมือนความสุขกับความหวังจะไม่ช่วยอะไรผมเลย ทุกอย่างในหัวผมเหมือนหยุดทำงาน ไม่พบแนวคิด หรือข้อพิสูจน์ใหม่ๆ มารองรับสมมติฐานของผมสักที”
“…” ผมได้แต่นั่งอึ้ง รู้สึกอึดอัดไปพร้อมๆ กับอีริค ทั้งที่อยากช่วยเขาใจแทบขาด แต่ปัญญาอย่างผมคงคิดได้แต่เรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝัน จะเอาอะไรเป็นการเป็นงานจริงจัง แบบหลักวิทยาศาสตร์คงไม่ได้
“กินเบียร์กันก่อนคืนนี้ ผมซื้อเอาไว้แล้วอยู่ในรถ ไปนั่งดื่มข้างล่างกัน ถือว่าพักผ่อนนะอีริค”
คืนนั้นเรา 2 คนเมาอย่างไม่เคยเมามาก่อน ท่ามกลางเสียงเงียบของกลางดึก ยังหลงเหลือเพียงเสียงของคนเมา 2 คน ถ้าใครผ่านไปแถวถนนปทุมวันคืนนั้นจะพบคนเมาคล้ายคนบ้า 2 คนกอดคอกันหัวเราะ ร้องไห้ ร้องเพลงเดินโซเซไปมาข้างถนน …

เช้าวันต่อมาผมลืมตาตื่นขึ้น ร่างกายยังไม่พร้อมจะลุกออกจากเตียง จึงนอนจมร่างกายเอาไว้แบบนั้น ในหัวสมองของผมรู้สึกตื้อ และความรู้สึกอึดอัดด้วยโรคไข้อีริคเป็นพิษจุกอกรกสมอง ผมนอนก่ายหน้าผาก ฝ่ามือเหม็นเบียร์เหล้าเคล้าบุหรี่ ที่ทิ้งกลิ่นไว้ยังไม่ได้ชำระล้างตั้งแต่เมื่อคืนเหวี่ยงไปโดนตุ๊กตาหมีที่แฟนสาวของผมให้มาในวันวาเลนไทน์เมื่อสองปีที่แล้ว ภาพความทรงจำลอยหวนกลับมาสู่สมองของผมอีกครั้ง กลิ่นไอความหวานละมุนละไมฟุ้งกระจายเต็มห้อง ผมกดรีโมทเปิดเครื่องเสียงเพื่อค้นหาเพลงโปรด เสียงเพลงครางแผ่วเบา แต่หนักแน่นจากเครื่องเสียงคุณภาพดี จนทำให้แรงหัวใจเต้นกระแทกมาถึงภายนอกจนรู้สึกได้ ถ้าผมกับเธอยังคงได้อยู่ด้วยกันวันนี้คงเข้าปีที่ 8 สำหรับความรักของเราสองคน น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเพียงผมนอนซมอยู่บนเตียงภายในห้อง ความรักระทมชื่นชมไม่ได้ แต่ความรู้สึกดีๆ ภายในหัวใจไม่เคยเลือนหาย และยิ่งกลับชัดแจ้งกว่าเดิมคล้ายเธอยังคงนอนอยู่เคียงข้างกัน มีใครจะรู้บ้างไหมตอนนี้ผมคิดถึงเธอสุดขั้วหัวใจ!
เสียงเพลงดีๆ ที่เราสองคนเคยฟังด้วยกัน กลิ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดของเธอที่ผมมักจะซื้อติดห้องเอาไว้หลังจากวันที่เราจากกันลอยหอมแผ่วเบาอยู่ภายในห้อง ทำเอาผมขนลุก น้ำตาเอ่อล้นท่วมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนหน้านี้ผมเป็นเพียงมนุษย์เพศชายโสดเดินดิน ใช้ชีวิตอยู่กินไปวันๆ โดดงาน เปลี่ยนงาน ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย บ้านรกอย่างกับรังหนู กองจานพูน เสื้อผ้าไม่ได้ซักกระจัดกระจาย แต่ก็มีเธอนี่แหล่ะที่เข้ามาทำให้ผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เธอตายเพราะอุบัติเหตุเมื่อกลางปีที่ผ่านมา วันที่ผมซมซานเข้าหาร้านเหล้า และเป็นวันที่ผมพบกับอีริคครั้งแรก....
มีใครจะรู้บ้างไหมตอนนี้ผมคิดถึงเธอสุดขั้วหัวใจ!

“เหล้ามันก็มีความสามารถเต็มที่แค่ทำให้คุณเมา! ส่วนเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้คุณนั่งร้องไห้ เมาเป็นหมาอยู่อย่างนี้เนี่ย มันอยู่ที่คุณเองที่จะมีความสามารถทำให้ลืมได้หรือเปล่า?” อีริคเป็นคนเดียวท่ามกลางสังคมแห่งความเหนียมอาย และความเป็นส่วนตัวที่กล้าเดินเข้ามาปลอบใจ แกมหลอกด่าผมในคืนนั้น
“คุณอย่ามายุ่ง! ผมเมาก็เพราะผมอยากเมา ไม่ได้เสียใจห่าเหวอะไรทั้งนั้น!”
“งั้นคุณก็เลิกกินเหล้าเถอะ กินเยอะจนมันไหลปริ่มๆ ออกมาจากตาแล้วนั่น… ไม่ได้ห่วงห่าเหวอะไรหรอกนะ เสียดายหว่ะ เหล้ามันแพง!” มือซ้ายของผมขยับขึ้นปาดน้ำตา อีกมือขยับคว้าคอเสื้อเพื่อจะหาเรื่องใครตรงหน้าไม่รู้ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยแรงโทสะ และรู้สึกเสียหน้า
“แหน่ะๆ จะเอาเสื้อผมไปเช็ดน้ำตาอีกแล้ว ไม่เอาหน่า... มีอะไรลองเล่าให้ผมฟังดูก่อนไหม? เล่าเสร็จแล้วผมจะถวายแก้มขวาให้คุณเอาหมัดไปวางเล่นได้เลยเต็มที่ ผมไม่หวง!” เขายังคงกวนอารมณ์จนผมรำคาญเลิกโมโหเสียดีกว่า
“ผมชื่ออีริค…” อีริคยื่นมือมาให้จับเขย่าทักทายตามแบบฝรั่ง สิ้นสุดการเขย่าแบบฝรั่ง ผมก็ขยับเขยิบแบบคนไทยค่อยๆ เลื่อนตัวเขาหาเขา แล้วเริ่มพร่ำบ่นอย่างคนเมาๆ

จนมาถึงตอนนี้ อีริคก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และแทบจะคนเดียวในชีวิต ที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังคงอยู่กับผมตลอดไปอย่างน้อยก็ในความทรงจำ ที่มันจะกลับมาให้เราเห็นได้เสมอเมื่อเราแค่นึกถึง... แล้ววันนี้เธอคนที่ผมคิดถึงก็มานั่งอยู่ตรงนี้อีกครั้ง เสียงเพลงยังคงแว่วดัง สัมผัสของตุ๊กตาหมีตัวนั้นยังติดอยู่ที่หลังมือ บรรยากาศตอนเช้าที่สดใสทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความทรงจำดีๆ และที่สำคัญเธอกำลังนั่งอยูข้างๆ ผมบนเตียงที่ผมกำลังนอนจมตัวเองอยู่อย่างนี้
“เป็นอย่างไรบ้างคะ? ไม่เจอกันเสียนานเลย” เธอขยับตัวเข้าหาผม เอามืออันอ่อนโยนลูบไล้ตามใบหน้าของผม น้ำตาผมไหลรินออกมาอย่างวันแรกที่สูญเสียเธอไป
“ผมคิดถึงคุณจัง... คุณอย่าไปไหนอีกนะ” ผมโผเข้ากอดเธอ แล้วยกมือปาดน้ำตาเหมือนเด็กผู้ชายขี้แย
“ร้องไห้ทำไมคะ? ไม่เอาหน่า ฉันก็อยู่นี่แล้วไง...” เธอบรรจงก้มลงหอมที่หน้าผาก ผมขยับตัวขึ้นหนุนตัก
“คุณรู้ไหมว่าชีวิตผมเป็นยังไง เวลาคุณไม่อยู่ ? ผมทำตัวเหมือนคนไร้จุดหมาย รอวันที่จะตามคุณไป ทิ้งชีวิตหลุดลอย ผมดูแลตัวเองไม่ดีเลย ผมทำตามที่รับปากกับคุณ ก่อนที่คุณจะออกจากห้องนี้ไปวันนั้นไม่ได้ คุณอย่าโกรธผมนะ!”
(“ดูแลตัวเองดีๆ เพื่อฉันนะคะ” เธอพูดขึ้น พร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ผมรู้สึกมีความสุขระคนไปกับความกังวลจากคำพูดแปลกๆ วันนั้นของเธอ ประโยคสุดท้ายก่อนที่จะเสียเธอไปตลอดกกาล)
“ค่ะ!... ฉันเชื่อว่าคุณต้องกลับมาแข็งแรง และมีความสุขเต็มที่อีกครั้ง ฉันจะคอยอยู่ข้างคุณตลอดไป...” ร่างกายของเธอขาวจาง แล้วเลือนลับ

ผมสะดุ้งขึ้นจากการที่เสียงเพลงเล่นจบแล้วหยุดลง ผมสะบัดหัวออกจากความคิดเพ้อเจ้อเลยเถิด ตุ๊กตาหมียังคงนั่งยิ้มอยู่ตรงตำแหน่งเดิม หลายครั้งที่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันดูเหมือนหมีที่ไหนว่ะ? เพราะมันก็ไม่ได้ดูเหมือนหมีตัวจริงที่ผมเคยเห็นตามสวนสัตว์มากนัก ผมไม่เคยเห็นหมีที่ไหนหูกางเป็นวงกลม มือเท้าสั้นผิดส่วน ตากลมเล็กใบหน้ายิ้มแย้ม จมูกยื่นออกมาจากใบหน้าน้อยกว่าความเป็นจริง แต่อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายเมื่อมันวางอยู่กับหมอน เมื่อมันนั่งอยู่กับช่อดอกไม้ เมื่อมันถูกวางอยู่ร่วมกับตุ๊กตากบที่หน้าคล้ายกบ ตุ๊กตาหมาที่หน้าคล้ายหมา ตุ๊กตากุ๊กไก่ที่หน้าคล้ายกุ๊กไก่ บรรยากาศรอบข้างทำให้มันดูน่ารักน่าชัง และเพิ่มความเป็นตุ๊กตาหมีในความหมายมากขึ้น และที่สำคัญเมื่อมันเป็นตัวแทนของบรรยากาศดีๆ ที่ดูคล้ายความรัก

คราบน้ำตายังคงเกาะอยู่ที่หางตา สติของผมกลับคืนมาเต็มที่แล้ว น่าแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้ผมกลับคิดถึงเธอขึ้นมา จนสามารถปั้นแต่งให้เธอมีตัวตนได้อีกครั้ง ตอนนี้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หัวสมองแล่นฉิว และรู้สึกเหมือนมีพลังอยู่เต็มตัว อาจจะเป็นเพราะเสียงเพลงที่ผมเปิด อาจเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมของเธอที่ผมสูดเข้าจมูก อาจเป็นเพราะการสัมผัสระหว่างผมกับตุ๊กตาหมีที่ได้จากเธอ หรืออาจเป็นเพราะอนุภาคของเธอที่ยังคงแผ่พลังออกมาภายในห้อง หรือทุกอย่างนั้นรวมกันพอดิบพอดี
“หรือว่า!!” ผมตื่นเต้น รีบโทรหาอีริค นัดกันว่าหลังเลิกงานให้มาเจอกันที่ร้านอาหารร้านเดิม ผมค้นพบข้อพิสูจน์ และแนวคิดใหม่ๆ มาส่งเสริมสมมุติฐานของอีริคแล้ว บรรยากาศตอนนั้นทำให้ผมขนลุกด้วยความสุข...
...
...

คืนวันนี้เสียงเพลงแจ็สบรรเลงชุ่มช่ำอีกครั้ง โต๊ะตัวเดิมวันนี้ดูเบิกบานเป็นพิเศษ บาร์เทนเดอร์และเหล่าบริกรที่คุ้นเคย ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าปรกติหลายเท่านัก คนเล่นดับเบิ้ลเบสบนเวทีมองลงมาที่โต๊ะแล้วพยักหน้าทักทาย... ผมเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเช้า
“ทุกๆ อย่างมันลงตัวพอดีจริงๆ เมื่อเช้า ทั้งเสียงเพลง กลิ่นไอ อุณหภูมิของช่วงเช้าที่เย็นสบาย ไอความชื้นของน้ำค้างยามเช้า ทุกอย่างจริงๆ อีริค ผมรู้สึกว่าหัวของผมขยับแล่นได้ดีเป็นพิเศษจนเผลอคิดเพ้อเจ้อเลยเถิดไปได้ถึงเพียงนั้น ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างช่วยตอบโจทย์ที่คุณคิดหว่ะอีริค แต่ผมไม่มีความรู้ทางวิชาการมันเลยตื้นๆ ตันๆ อยู่ในหัวใจอย่างไรบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเอามวลไปคูณกับกำลังสองของความเร็วแสงตรงช่วงไหน? เลยพูดออกมาเป็นหลักการไม่ได้หว่ะ...” ผมเขย่าแขนอีริคด้วยความตื่นเต้น แต่อีริคยังตามผมได้ไม่ทันนัก

“คิดดูสิว่าคนเราแต่ละทวีปต่างกันไปทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความคิดกันไปเพราะอะไร? น่าแปลกไหมที่ญี่ปุ่น ที่เป็นเอเชียแท้ๆ แต่กลับเจริญรุ่งเรืองได้เท่าเทียมกับประเทศแถบยุโรปหลายประเทศ อาจจะเป็นเพราะมีหิมะตก ทำให้มีไอน้ำ และอนุภาคความเย็นใกล้เคียงกัน คนเลยคิดอะไรสร้างสรรค์ได้คล้ายกันหรือเปล่า? แบบว่าอยู่ในชั้นบรรยากาศความก้าวหน้า” ผมลองอธิบายให้ดูมีหลักการอีกครั้ง

“อย่างรัสเซียก็อาจจะมีชั้นบรรยากาศคอมมูนิสต์ และชั้นบรรยากาศนั้นก็กินพื้นที่ไปถึงจีนที่อยู่ติดกันด้วย กรุงเยรูซาเลมที่วุ่นวายมา 2,000 กว่าปีและยังไม่จางหายก็เป็นเพราะมีชั้นบรรยากาศวุ่นวายปกคลุมอยู่ และเรื่องราวก็จะไม่จบไม่สิ้นถ้าชั้นบรรยากาศนี้ไม่เคลื่อนตัวออกไป ตะวันออกกลางก็ดูแปลกๆ เพราะชั้นบรรยากาศแบบทะเลทรายกลางคืนหนาวจัด กลางวันร้อนจัด ทำให้องค์ประกอบของชั้นบรรยากาศส่งผลต่อคนจนมึนงงสับสน และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น...
“หรืออย่างเรื่องใกล้ตัวที่เด็กไทยส่วนใหญ่ที่ไปโตที่ยุโรปตั้งแต่เด็กก็จะผิวพรรณดี สูง ขาว ไม่แน่ก็อาจจะฉลาดกว่าอย่างคุณไงอีริค ผิดกับเด็กไทยที่โตอยู่ที่เมืองไทยอย่างผม คนรวยๆ เขาถึงอยากจะส่งลูกๆ หลานๆ ให้ไปเรียนตรีฯ เรียนโทฯ ไปโตอยู่ที่นั่นกัน หรือจะเป็นเพราะที่บ้านเราถูกปกคลุมด้วยชั้นบรรยากาศบ้าวัตถุ...” ผมเริ่มอ้างวิชาการมั่วๆ ผสมไปกับความอึดอัดใจ

อีริคนั่งครุ่นคิดตามผมอยู่ครู่ใหญ่ และคงกำลังคิดเถียงผมในใจอยู่แน่นอนตามธรรมดาของเพื่อนคนนี้ แต่แล้วเพียงอึดใจเขาก็สามารถสรุปเรื่องได้ด้วยแววตาเบิกโพลง ดูเขาดีใจ และพอใจเอามากๆ เขาสามารถลำดับความคิดได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วว่า ในชั้นบรรยากาศใช่จะมีส่วนผสมเพียงจากก๊าซ และไอน้ำแค่นั้น แต่มันยังมีอนุภาคเสียง อนุภาคแสง แม้แต่ละอองฝุ่น ละอองกลิ่น และน่าจะมีอะไรอีกมากมายหลายอนุภาคที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนอย่างที่ผมบอก ที่เมื่อไรมันเข้าปะทะตัวเรา เคมีในร่างกายก็จะขับเคลื่อนความคิด ผลักดันแรงกระตุ้นต่างๆ ทำให้ต่างทิศต่างที่ต่างทวีปคนถึงคิดต่างกัน มีลักษณะทางกายภาพต่างกัน อีริคคิดไม่ออกเพราะบรรยากาศในห้องแลปทดลองไม่ลงตัวที่จะกระตุ้นเคมีของเขา แต่ที่นี่ภายใต้บทเพลงแสนโปรด เพื่อนถูกใจ แสงไฟสลัว และทุกๆ อย่างรวมกัน
“ผมและอีริค กำลังอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นใจ” ที่ค้นพบโดยอีริคและผม

เสียงเพลง The Prettiest Thing ของ Norah Jones แว่วดังขึ้น ผมเผลอสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด "บรรยากาศวันนี้สดชื่นดีจริง!" ผมคิด และกำลังยิ้ม...


The prettiest thing
I ever did see
Was dusty as the handle on the door
Rusty as a nail stuck in the old pine floor
Looks like home to me

I'm dreaming again
Like I've always been
And way down low
I'm thinkin' of the prettiest thing
------------------------------------------------------------------------------------
1. กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย โดยที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงได้แสดงไว้แก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ จนเมื่อรู้ และเข้าใจแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ หรือไม่มีโทษ ถึงจะควรละหรือถือปฏิบัติตามสิ่งนั้น
2. อิคโนเบล (Ig Nobel) รางวัลจริงๆ จังๆ กึ่งล้อเลียนรางวัลโนเบล (Nobel Price) ที่จัดขึ้นโดย Annals of Improbable Research (AIR) นิตยสารวิทยาศาสตร์แกมตลกขบขัน ซึ่งจะมอบรางวัลให้แก่บุคคลในสาขาต่างๆ ที่ทุ่มเทอุทิศชีวิตให้กับการทำงานวิจัย ซึ่งเป็นหัวข้อที่ใครได้ยินแล้วก็ต้องหัวเราะ