เวลาเริ่มเข้าใกล้ความเช้า ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน รู้ตัวดีว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ ผมลุกขึ้นไปเปิดเพลง Stand by me ของ John Lennon ผู้ชายที่ผมชื่นชมและอิจฉา เขาได้สร้างสิ่งที่สวยงามมากมายให้แก่โลกโดยไม่เคยกลัวหรือนึกกังวลอะไร เพียงเพราะระหว่างที่เขาเดินไปไม่ว่าที่ใด Yoko Ono ผู้หญิงที่เขารักจะคอยอยู่เคียงข้างกันและกันเสมอ...
ลองคิดดูสิ ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมีกี่ความรู้สึก ที่ถูกพับเก็บใส่กระเป๋าความฝัน ซ่อนอยู่ในซอกที่ลึกที่สุด จนบ่อยครั้งที่คุณรู้สึกลำบากเกินกว่าจะรื้อมันขึ้นมาเพื่อชื่นชมอีกครั้ง จนกระทั่งไม่กี่คืนก่อนหน้านี้ท่ามกลางภาพมากมายที่ไหลวนในความคิด ความอ่อนล้าต่อการทำงาน และเหนื่อยล้าต่อการใช้ชีวิตที่เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อยู่ดีๆ ภาพหนึ่งที่เคยถูกเก็บไว้ในกระเป๋าความฝันใบนั้นก็แทรกตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเป็นภาพรอยยิ้มของหญิงสาวที่สามารถมอบพลังให้ผมได้อย่างน่าประหลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อผมตกอยู่ในภาวะอารมณ์เช่นนี้
ในความเป็นจริง เราไม่เคยมีช่วงชีวิตที่น่าจะได้เฉียดใกล้กันเท่าไรนัก แน่นอนว่าเราอาจไม่เคยได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน แม้จะสวนกันไปสวนกันมาในมุมของการใช้ชีวิต อาจเคยเดินสวนกันในพื้นที่สาธารณะ อยู่ในรถข้างๆ กันบนท้องถนน หรือใต้ร่มเงาของฟ้าเดียวกัน แต่คงไม่มีทางเลยที่จะได้มายืนต่อหน้ากันและกล่าวคำทักทายที่ง่ายที่สุดในชีวิตต่อกันอย่างคำว่า... สวัสดี
ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองว่าทำไมหลายต่อหลายครั้งผมจึงนึกถึงภาพของเธอ เช่นครั้งหนึ่งที่ลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งให้ผมค้นหาผู้ดำเนินรายการ ในวิดีโอเปิดสินค้าตัวใหม่ ตลกดีที่แว่บแรกผมนึกถึงเธอ... หรือครั้งหนึ่งที่ผมเปิดเพลงของ Lennon ที่กำลังเปิดวนไปมาอยู่ตอนนี้ แล้วนั่งวาดภาพชายหนุ่มหญิงสาวบนขอนไม้เล่นๆ เรื่อยเปื่อยลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์
“If the sky that we look upon
Should tumble and fall
And the mountains should crumble to the sea
I won't cry, I won't cry, no I won't shed a tear
Just as long as you stand, stand by me”
ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ... และจากที่จะวาดเล่นๆ ผมกลับลงสีจริงจังจนงานเสร็จ หรือครั้งหนึ่งที่ผมนั่งทำดนตรีเล่นๆ ในเวลาว่างที่ตั้งใจจะทำอัลบั้มกับเพื่อนที่ค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ... และใส่คำร้อง ทำนอง รวมถึงอัด demo เพลงจนเสร็จ หรืออีกหลายต่อหลายครั้ง...
และนั่นเป็นการมาเยือนของเธอที่ผมมีความสุขทุกครั้ง แม้ผมจะไม่เคยรู้จักเธอเลยก็ตาม
จนกระทั่งไม่กี่คืนก่อนหน้านี้ที่ผมกำลังนั่งหลับตาฟังเพลงอยู่ในร้านอาหารคนเดียว ท่ามกลางภาพมากมายที่ไหลวนในความคิด ความอ่อนล้าต่อการทำงาน และเหนื่อยล้าต่อการใช้ชีวิตที่เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อยู่ดีๆ ภาพหนึ่งที่เคยถูกเก็บไว้ในกระเป๋าความฝันใบนั้นก็แทรกตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ... แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้มีพลังเพียงเพื่อการทานข้าวมื้อนั้นให้เสร็จ เหมือนการทำงาน วาดรูป หรือทำดนตรีอย่างที่ผ่านมา ผมขับรถกลับบ้านโดยยังมีความคิดมากมายตามติดมาประหนึ่งเป็นฝูงมอเตอร์ไซค์ของเหล่าเด็กแว้น แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนยิ่งขึ้นคือผมจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนลูกโป่งความคิดในการ์ตูนอย่างที่เป็นมาอีกแล้ว และคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างก่อนที่เวลาและการใช้ชีวิตจะดึงเราให้ห่างออกจากกันไปมากกว่านี้... เพราะนี่เราก็อยู่ห่างกันมากพออยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ผมดีใจและมีความสุขนะที่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ถึงมันจะเป็นแค่การเริ่มต้นเล็กๆ แต่อย่างน้อยผมก็ได้เริ่มต้น และนั่นก็มีค่ามากเกินจะแอบซุกไว้ในหัวใจ ผมกำลังนั่งอมยิ้มตามรอยยิ้มของเจ้าของในภาพเหล่านั้น รอยยิ้มที่สามารถทำให้ผมอยากลุกขึ้นมาจดบันทึกไดอารี่หลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันมานานแสนนานเช่นในคืนนี้อีกครั้ง
ถึงจะนอนไม่หลับแต่ก็รู้สึกไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เอ๋? หรือผมจะหลับไปแล้วนะ? เพราะผมยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยในตอนนี้ มันยังดูคล้ายความฝันที่ผมไม่นึกอยากจะหยิกตัวเองพิสูจน์อีกต่อไปแล้ว...
เวลายังเริ่มเข้าใกล้ความเช้าเข้าไปทุกที ไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนต่ออีกสักพัก รู้ตัวดีว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ... เสียงเพลง Stand by me ยังคงวนลูปเล่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน ผมสังเกตได้ว่าท่วงทำนองของดนตรีก็กำลังอมยิ้ม
“Whenever you're in trouble won't you stand by me, Oh now now stand by me...”
ป่านนี้เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว อยากให้อีก 10 ปีข้างหน้า 30 ปีข้างหน้า และตลอดไป ผมก็ยังได้เขียนโดยมีเธอเป็นนางเอกในบันทึกของผมอยู่ และไม่ว่าเธอจะฝันอะไรขอให้คืนนี้ความสุขมาเข้าฝันของเธอ
ยินดี (จริงๆ) ที่เราได้รู้จักกัน...
No comments:
Post a Comment