4 December 2008

-: 3/4 ใบหน้าของมนุษย์ :-

“ก็เนื่องมาจากเจ้าชายทำรองเท้าคนนั้นเกิดความคลางแคลงสงสัยในงานที่ตัวเองทำ จนพาลทำให้คลางแคลงสงสัยไปถึงชีวิตของตัวเอง เขาเกิดไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ”



วันนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมา ท้องฟ้าดูสดใส สว่าง จนความมืดไม่อาจทำลายความสว่างนั้นได้ ปุยเมฆสีเข้มกระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้า พร้อมกับดาวฤกษ์ประจำสุริยะจักรวาล สีขาว “ดาวอาทิตย์” ที่ส่องแสงนวลสว่าง คู่กับมนุษย์เรามาหลายล้านปีสี

วันนี้ผมต้องออกตระเวนเพื่อไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของผมหลายคน เพราะผมกำลังจะเข้าเป็นนักประพฤติและแสวงหาของหน่วยงานหลักบนดาวเคราะห์โลก หน่วยงานที่หล่อหลอมรวมเอาจิตใจมนุษย์ทั้งหมดเข้าเป็นส่วนเดียวกัน เพื่อปกป้อง “สหภาพมนุษย์” (the Union of Human) จากการก่อสงครามของสิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกพวกเราเรียกว่า “เออาร์ที” (ART : Anti-Realism Terrorists)

หน่วยงานของเราเหล่ามนุษย์นี้ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “หน่วยงานเลียน” (Copy Center) มาร่วม แสนปีสีแล้ว ใช่! นานมากเมื่อเทียบกับอายุขัยของพวกเรา ๑๒ ปีสี หน่วยงานนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกเหล่าบนดาวโลก โดยยึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้พวกเรารู้จักท่านนามของ “เทพเจ้าโมนีย์” (Mo-ney)

“ตามตำนานเทพนิยาย เทพเจ้าโมนีย์เสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสูงที่สุดโดยมีภาระหน้าที่ในการบันดาลสิ่งที่เทพน้อยใหญ่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับเขาผู้นั้น” พ่อบอกกับผมในวันหนึ่ง
“รวมไปถึงความต้องการของมนุษย์บนพื้นโลก และสิ่งมีชีวิตถ้วนหน้าในจักรวาลพิภพ หลังจากที่พระองค์ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ตามบัญชาจากกษัตริย์ของเหล่าเทพมาเป็นเวลาหลายล้านล้านปีสี แต่แล้วเรื่องราววุ่นวายได้เกิดขึ้นบนเอกภพหรือโลกแห่งแผ่นดินสวรรค์จนได้ ก็เมื่อคราวที่ชายทำร้องเท้าจากเมืองโทโลกหรือโลกของมนุษย์ต้องการที่จะเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอม” พ่อหยุดถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อ
“เทพเจ้าเดร์แอมคือใครหรือครับ?” ผมในวัยนั้นกล่าวถาม
“เทพเจ้าเดร์แอม (Dre-am) คือเทพเจ้าที่พวกเออาร์ทีมันเคารพนับถือ เทพเจ้าเดร์แอมเป็นเทพเจ้าแห่งความสุข ซึ่งคอยดลบันดาลพลังใจให้กับสรรพสิ่งทั่วโลก เมื่อเขาเหล่านั้นถึงคราวหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เจ้ารู้ไหมว่าครั้งหนึ่งเทพโมนีย์ก็เคยมาขอรับพรจากเทพเจ้าเดร์แอมนะในสมัยที่ทั้งสองยังเป็นเทพบุตรตัวเล็กๆ” พ่อพูดเน้นเสียงอย่างหัวเสีย อาจเพราะรู้สึกเสียหน้าแทนเทพที่ตนเองศรัทธา “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรมากมาย? ปัญหามันก็แค่ในตอนนั้นเทพเจ้าของพวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะใช้พรของตัวเองดลบันดาลความสุขให้ตัวเองได้ แต่เทพเจ้าเดร์แอมนั้นมีพรติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดขึ้นบนสรวงสวรรค์”
“แล้วทำไมชายทำรองเท้าถึงไปขอเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอมหรือครับ?” ผมเร่งให้พ่อเล่าต่อ

“ก็เนื่องมาจากเจ้าชายทำรองเท้าคนนั้นเกิดความคลางแคลงสงสัยในงานที่ตัวเองทำ จนพาลทำให้คลางแคลงสงสัยไปถึงชีวิตของตัวเอง เขาเกิดไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ และถึงกับสวดอ้อนวอนต่อหน้าประชาชนทำให้เทพเจ้าโมนีย์ของเราเสียหน้า เช่นในพระคัมภีร์ที่กล่าวอ้างถึงถ้อยคำของชายคนนั้นไว้ว่า - ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าที่เรารัก เราไม่ได้ต้องการทุกอย่างในชีวิต เราต้องการเพียงอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุข ท่านมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ภรรยาสาวสวย ลูกชายที่จะมาดูแลกิจการต่อ หน้าที่การงานที่มั่นคงและลูกค้าที่ซื่อสัตย์ แต่เราไม่ได้ต้องการภรรยาสาวสวยที่คอยบ่นว่าทุกครั้งเมื่อเราอยากพักผ่อนและปิดร้าน ไม่ได้ต้องการลูกชายที่เราอยากให้ทำรองเท้าที่คนใส่แล้วจะมีความสุขแต่เขากลับสนใจแต่เพียงเชือกและหนังชนิดใดที่ทำรองเท้าได้ราคาถูกจนทำให้ขายได้กำไรมากขึ้น เราไม่ได้ต้องการหน้าที่การงานที่มั่นคงและลูกค้าที่ซื่อสัตย์โดยที่เราต้องคอยง้อลูกค้าที่มีแต่อยากจะได้รองเท้าจากร้านของเราใส่เพื่ออวดโอ่ มากกว่าสวมใส่เพื่อป้องกันผิวเท้าจากคมบาดของพื้นกรวด ท่านเป็นเทพเจ้าที่เราไม่ต้องการ ได้โปรดให้เราเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอมเพื่อทูลขอเพียงความสุข ได้โปรดเปลี่ยนหน้าที่ของพระองค์ให้เทพเจ้าที่เราต้องการด้วยเถิด – พ่อไม่เข้าใจคนพวกนี้จริงๆ และพวกเออาร์ทีนี่แหล่ะที่ยึดถือบทสวดนี้เป็นสรณะ ทั้งๆ ที่มันเป็นบทสวดต่อว่าพระเจ้าของพวกเรา”

“แล้วชายคนนั้นได้พบเทพเจ้าเดร์แอมไหมครับ?” ผมยังกล่าวถามต่อไป พร้อมกับรอยบูดบึ้งที่เริ่มเปื้อนไปตามคราบยิ้มบนใบหน้าของพ่อ
“ได้สิ เพราะเทพเจ้าของพวกเราทรงมีพระเมตตาจึงดลบันดาลให้ชายโง่คนนั้นได้ในสิ่งที่เขาต้องการ และสิ่งเดียวที่เขาได้จากเทพเจ้าเดร์แอมคือฐานะทางบ้านที่ยากจนลง ทำไมเขาถึงต้องคิดอะไรมากมายด้วยนะ ทำไมนะเขาถึงต้องยอมแลกความสะดวกสบายกับเรื่องราวไร้สาระแบบนั้น ก็แค่ใช้ชีวิตของเขาไปวันๆ อยู่กับความมั่งคั่งของตัวเอง เขาโง่ถึงขนาดยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้สักอย่างเดียวที่เทพเจ้าเดร์แอมมีปัญญามอบให้แค่นั้น... ตำนานนี้แหล่ะที่ทำให้พวกคิดมากคนอื่นๆ พากันหลงเชื่อ และก่อการปฏิวัติและกลายพันธุ์กลายมาเป็นพวกเออาร์ทีที่สร้างความวุ่นวายให้กับพวกเราทุกวันนี้” ผมนั่งมองดูพ่อถอนหายใจเสียเนิ่นนาน

ตามความเชื่อของ "เลียน" ชายใดที่มีอายุได้ ๒ ปีสี จะต้องถวายตัวเข้ารับใช้เป็นนักประพฤติและแสวงหา ประจำหน่วยงาน เพื่อสานต่อภาระหน้าที่หลักของหน่วยงาน รวมถึงแสวงหาหนทางในการกำจัดเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่จ้องจะรุกราน ด้วยความกระหายที่จะมีชีวิตแตกต่างจากพวกเราเหล่ามนุษย์
และวันนี้ผมก็มีอายุอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามครรลองของดาวดวงนี้...

“มนุษย์กับเออาร์ทีต่างกันตรงไหนนะครับพ่อ?” ผมถามพ่อถึงรูปลักษณ์ของพวกกลายพันธุ์ ผมไม่เคยคาดเดาเอาเองได้เลยว่าสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์ไปจากพวกเราที่เดินผ่านไปผ่านมาให้เห็นอย่างในปัจจุบันนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร? มีหงอนโผล่ขึ้นมาตรงกลางหัว? หรือจะมีลำตัวเป็นเปลือกแข็ง?
“พ่อเล่าให้ฟังว่า ปู่เล่าให้ฟังว่า พ่อของปู่เล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษเล่าให้ฟังว่า... สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์พวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเราจนแทบจะแยกด้วยตาเปล่าไม่ออก แต่หากจะสังเกตดีๆ เราจะพบว่าพวกเขาจะยืดหลังตรงกว่าเราเล็กน้อย และรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์คล้ายเด็กอยู่ตลอดชีวิตแม้หนวดเคราจะขาวครึ้ม และที่สำคัญขนาดของหัวใจพวกนั้นจะโตกว่าเราหลายเท่า” ฟังดูน่ารังเกียจจนคิดภาพตามไม่ไหว แต่ทุกคนก็ยังยืนยันว่ายังไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาพวกมันชัดๆ เสียที ทุกคนรู้มาจากการบอกเล่าต่อกันมา แม้ว่าหน้าที่ภาระของผมในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากผมกลับมาจากการรายงานตัว สิ่งถัดมาที่ต้องกระทำก็คือ ทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าเป็นผู้ประพฤติและแสวงหา ซึ่งพวกเราทุกคนจำเป็นต้อง อ่าน โดยการรับประทานผลคู่มือชีวิต ซึ่งคุณพ่อเด็ดมาจากต้นตระกูล ที่ปลูกไว้โตและสูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ครึ้มไปทั่วตรงบริเวณหน้าบ้านของทุกบ้าน และมอบให้กับผมเรียบร้อยแล้ว ต้นตระกูลจะให้กำเนิดผลคู่มือนี้ชั่วอายุมนุษย์ละ ๑ ครั้ง... และแปลกประหลาดที่จำนวนของผลคู่มือจะเท่ากับจำนวนของบุตรหลานในแต่ละบ้าน... อาจจะเป็นเพราะความลงตัวอันน่าประหลาดนี้ที่ทำให้ทุกคนบนโลกยอมรับนับถือธรรมเนียมปฏิบัตินี้อย่างขึ้นใจ

ผลคู่มือจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทให้ผู้ที่รับประทานเกิดภาพจำถึงสิ่งที่จะต้องทำสำหรับชั่วอายุมนุษย์นั้นๆ สำหรับตัวผม ตั้งแต่เกิด จนตาย และสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือมีความคิดเห็นขัดแย้งได้

“มันอาจจะยากที่จะเข้าใจ และยอมรับในวิถีชีวิตของพวกเรา แต่ลูกจะต้องเติบโตขึ้น และเป็นมนุษย์ที่ดีได้แน่ๆ” พ่อกล่าวกับผม
“ครับพ่อ ผมมั่นใจว่า ถ้าผลคู่มือทำให้ผมรู้ว่าชีวิตคืออะไร เราก็ควรจะว่าไปตามนั้นครับ ในเมื่อเผ่าพันธุ์ของเราสืบต่อวิถีชีวิตอย่างนี้มาได้หลายปีสี เท่านี้ก็น่าจะบอกอะไรๆ ได้แล้วว่า สิ่งที่กำลังเป็นอยู่มันถูกต้องที่สุดแล้ว”
“ฟังดูดี... ยกเว้นก็แต่ยังมีพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่ต่อต้าน” พ่อรำพึงกับตัวเองแล้วเดินเลี่ยงจากไป

หลังจากเที่ยงวันไปไม่นาน ผมก็เริ่มจดจำเนื้อหาสาระของสิ่งที่ผลคู่มือเกิดจินตภาพขึ้นกับผม ผมสามารถรับรู้การใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือของผมได้จนถึงวันสุดท้ายที่ผมจะมีชีวิต วันนี้แสงดาวอาทิตย์ขาวนวลสาดส่องตั้งฉากกับดาวโลกพอดี จนทำให้วันนี้เป็นวันที่สว่างที่สุดตามที่กรมโหรได้พยากรณ์เอาไว้ ผมปล่อยตัวเองไว้ที่โต๊ะตัวเดิม นั่งมองต้นตระกูลกำลังผลิช่อ เพื่อผลิตผลคู่มือเล่มเล็กๆ หนังสือคู่มือที่จะเติบโตเต็มที่พอดีสำหรับชั่วอายุมนุษย์ต่อจากนี้

ตลอดปีสีที่ผ่านมานี้ หลายครั้งที่ผมเคยรู้สึกอึดอัด กับเส้นทางชีวิต ที่พ่อมักจะพูดให้ผมฟังอยู่เสมอก่อนที่ผมจะมาได้รับรู้จากมันจริงๆ ผมเคยคิดว่า ทำไมเราต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางที่ทุกอย่างขีดเขียนไว้แล้ว มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ มันจะทำให้ชีวิต ๑๒ ปีสีของผมซีดจางลงไปหรือไม่ ผมเคยเบื่อกับกฎระเบียบรุงรังของบ้านนี้เมืองนี้ แต่พ่อก็คอยปลอบผมทุกครั้งที่ผมมีอาการเสี่ยง พวกมนุษย์เรียกความคิดขัดแย้งแบบนี้ว่า “อาการเสี่ยง” หลายมนุษย์มักจะพร่ำบอกกับผมว่า ผมจะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างเองหลังจากได้อ่านหนังสือคู่มือเล่มนี้จนครบ เมื่อไรก็ตามที่ผมมีเสถียรภาพในการจดจำ และเชื่ออย่างไม่มีข้อแม้ได้ เมื่อไรก็ตามที่ “ต่อมสังคม” ภายในร่างกายของผมโตพอ อาการเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปในที่สุด

และวันนี้ผมก็รับรู้ทุกอย่างแล้ว ผมพร้อมที่จะจดจำ และเชื่อ ผมเข้าใจทุกอย่างหมดจดแล้ว บ่อยครั้งผมก็อดนึกขำไม่ได้ที่เห็นเด็กมนุษย์ตัวเล็กๆ หลายคนบ่นอิดออดกับความเป็นตัวตนของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงผมในตอนเด็ก และอดไม่ได้ที่จะละอายใจเมื่อครั้งเคยคิดต่อต้าน...

อีกไม่กี่วันแล้วที่ภาระงานของผู้ประพฤติและแสวงหาในหน่วยงานเลียนจะมาถึง ผมรู้สึกพร้อมที่ จะเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ที่เลอเลิศที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ เลอเลิศกว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์เออาร์ทีเหล่านั้นหลายเท่านัก... เวลาผ่านไปจนดาวอาทิตย์คล้อยต่ำ ผลคู่มือที่ถูกกัดจนเนื้อหมดลงแล้วนอนทิ้งตัวอยู่ในถังขยะข้างๆ โต๊ะ ห้องของคุณพ่อหรี่เสียงลงในเวลาเดียวกับที่ไฟตามจุดต่างๆ ของเมืองเริ่มหรี่แสง และดับลงในที่สุด ชาวบ้านแต่ละคนเริ่มทยอยกันเดินเข้าตัวบ้าน ทิ้งไว้เพียงท้องถนนเงียบร้าง ต้นตระกูลใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสะบัดไหวตามสายลม และจุดประสงค์ของมันที่คงจะเริ่มวงจรใหม่เมื่อช่วงชีวิตของลูกหลานในรุ่นถัดไปใหม่มาถึงโลกของเราดวงเดิม เปลี่ยนเพียงแขกผู้มาเยือน ความมืด... ความสว่าง... ความวุ่นวาย... ความสงบ... และความทรงจำ...

ผมโยนผลคู่มือทิ้งลงในถังขยะ แล้วหัวเราะ...


-: หลงรักดวงดาว :-

Starry Night over the Rhone 1888 by Vincent van Gogh



คุณเคยหลงรักดวงดาวไหม?
อาจจะสวยงาม แต่ก็อยู่แสนไกลเกินเอื้อมมือถึง
อยากจะตะโกนชื่นชม บอกถึงความรู้สึกดีๆ และความห่วงใย แต่ระยะทางก็แสนไกลจนเสียงเหล่านั้นตกค้างอยู่กลางอวกาศ

ใครหลายคนอาจกล่าวกระตุ้นเราว่า เราก็ต้องกระโดด และไขว้คว้าไปให้ถึงสิ!
แต่ถ้าเราหาญกล้าเดินทางข้ามขอบฟ้าหลายปีแสงไปจนพบดวงดาวที่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ดวงดาวกลับสร้างชั้นบรรยากาศปิดกั้นเราไว้ เมื่อเข้าไปสู่ 'ใจ' กลางของดวงดาวไม่ได้ เราจะยังเหลือเรี่ยวแรงเดินทางกลับมายังโลกที่เราอาศัยอยู่ได้อีกหรือไม่?

แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ดวงดาวจะยังคงส่องแสงพราวอยู่อย่างนั้นจนเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกทั้งหมดของเราก็จะลอยฟุ้งหายไปกับสายลม ดวงดาวคงไม่จดจำว่าเคยมีคนๆ หนึ่งเฝ้ามอง สำหรับดวงดาวแล้ว เราอาจไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน...

ค่ำคืนใกล้คล้อยลับขอบฟ้าแล้ว แสงของดวงดาวเริ่มเลือนหายไปจากท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดสายตา
จนเมื่อรุ่งเช้ามาถึง... เราอาจจะตื่นจากความจริงขึ้นมาพบกับความฝันก็เป็นได้

-: This is not romantic article :-

Painting by Beth Reitmeyer
“อย่าไปเที่ยวค้นหาคำอธิบาย เหตุผล หรือตรรกะใดๆ อย่าไปกังวลไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิด และอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แค่เพียงกล้าที่จะรัก และรักษาความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้อยู่กับหัวใจของคนทั้งสองให้ได้ตลอดไป”


“Immature love says: "I love you because I need you."
Mature love says: "I need you because I love you."”
Erich Pinchas Fromm (March 23, 1900 – March 18, 1980) นักปรัชญามนุษย์ และนักจิตวิทยา


อาจเป็นสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิตที่บุคคล 2 คนได้มาพบกัน หลายคนอาจเคยฝันไปว่าวันหนึ่งจะได้พบกับครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เฝ้าตามหามานานแสนนาน ครั้งหนึ่งผมเคยสงสัยว่า “คนเรารู้จักเพื่อนมนุษย์ได้น้อยจนน่าใจหาย หากชีวิตนี้ผมเริ่มต้นระดับการศึกษาที่ระดับประถม - 6 ปีที่ผมอาจจะรู้จักผู้คนได้ มากที่สุดไม่น่าจะเกิน 50 คน แน่นอนถึงขนาดเผื่อแผ่ความสนิทสนมได้นั้น ไม่น่าจะเกิน 10 คน ...ต่อมาในช่วงชีวิตระดับมัธยมศึกษา ผมอาจจะได้รู้จักสังคมที่กว้างขวางขึ้น เพื่อนจากหลายโรงเรียนเริ่มเข้ามาวนเวียนในชีวิตของผม ในช่วงเริ่มแรกของการเป็นวัยรุ่นที่ผมตั้งใจจะทำความรู้จักกับความรัก และกอบโกยมิตรภาพ ในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับชีวิตมากมายนัก ผมกลับที่จะได้รู้จักคนเพิ่มอีกไม่น่าจะเกิน 200 คนภายในระยะเวลา 6 ปี และเช่นกันเพื่อนสนิทเคียงกายก็คงยังเข้ามาในชีวิตได้ไม่เกิน 30 คน!! แล้วหลังจากนั้นเล่าอีกประมาณ 4 ปีกับชีวิตการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ ภาวะสังคมแปลกตาคงเข้ามาทำให้ระคายความรู้สึกของใครๆ ไม่น้อย และผมก็คงเช่นกัน ผมอาจจะพบว่าช่วงนี้ไล่ไปยันช่วงผู้ใหญ่ เราอาจได้พบปะกับผู้คนมากขึ้น แต่แสนเศร้า ผมกลับที่จะสนิทสนมกับพวกเขาน้อยลง...”

เราอาจจะกำลังเสียเพื่อนที่เข้าใจ และน่าจะพูดคุยถูกคอกับเรามากที่สุดไป เพียงเพราะเขาอาศัยอยู่ในประเทศหมู่เกาะฟาโรที่เราไม่เคยได้มีโอกาสได้ไปเหยียบย่างที่นั่น หรือเราไม่สามารถพูดภาษาถิ่นกับเขาได้ เราอาจจะกำลังสูญเสียคนที่เรารักอย่างสุดซึ้ง ยิ่งกว่าใครๆ ที่เคยมอบหัวใจและทุ่มเทคำว่ารักให้มาก่อน ซึ่งถ้าหากได้ลองมาพบปะพูดคุย หรือร่วมหนทางแห่งความรักกันแม้ชั่วเวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่กลับรู้สึกเหมือนได้พบเจอกันมาแล้วชั่วนิรันดร์ ความรักของคน 2 คนนี้อาจจะสั่นโลกให้ไหวเคลื่อน แต่เราอาจสูญเสียเขาหรือเธอไปเพียงเพราะชีวิตนี้คนสองคนไม่เคยมีโอกาสได้พบกัน โอกาสที่คนเราจะได้พบกับผู้คนนอกเหนือระบบวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์เราช่างน้อยเหลือเกิน...

อัลแบร์ กามูส์ นักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยกล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์จะมีความสุขถ้าอยู่ภายใต้องค์ประกอบ 4 อย่างนั่นคือ ได้อยู่ในที่อากาศโล่งโปร่ง ได้ทำงานสร้างสรรค์ หลุดพ้นจากความทะเยอทะยาน และได้รักใครสักคน ซึ่งถ้ากามูส์ไม่นั่งเทียนสร้างเรื่องนี้ขึ้น เราจะพบได้เลยว่า องค์ประกอบทั้ง 4 ข้อนั้นหาได้ยากยิ่งในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างเร่งรีบเย่อหยิ่งและทะเยอทะยาน นั่งทำงานภายในออฟฟิตแคบอึดอัด งานหลายประเภทที่มิได้เพียงแต่ไม่สร้างสรรค์ แต่ยังแช่แข็งความสร้างสรรค์ให้อยู่ร่วมกับความแปลกแยกอันร้ายกาจในตู้แช่ช่องเดียวกัน และที่สำคัญเราแทบจะไม่มีคนให้รัก หรือดูแลความรักที่มีกันได้ไม่ดีนัก เพียงเพราะคิดกังวลอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง…

คุณตาผู้หนึ่งซึ่งได้ล่วงผ่านอนาคตของท่านเองเกือบทั้งชีวิตมาแล้วกล่าวให้ผมฟังว่า “เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าได้พบกับอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่แสนวิเศษแล้ว ความรักที่ไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากได้รัก... อย่าไปเที่ยวค้นหาคำอธิบาย เหตุผล หรือตรรกะใดๆ อย่าไปกังวลไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิด และอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ - แค่เพียงกล้าที่จะรัก และรักษาความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้อยู่กับหัวใจของคนทั้งสองให้ได้ตลอดไป แล้วเมื่อไรที่หลานพบกับคนๆ นั้น หลานจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”

ความรักที่ไม่สมบูรณ์กล่าวว่า “ฉันรักเธอเพราะฉันต้องการเธอ”
ความรักที่สมบูรณ์กล่าวว่า “ฉันต้องการเธอ เพราะฉัน... รักเธอ
วันนี้ผมคิดว่าผมรู้สึกได้แล้ว... คุณเองรู้สึกเหมือนกันไหม?

11 September 2008

-: สิ่งที่พวกเรารอคอย :-

“ฟลอเรนติโนเป็นตัวละครใน Love in the Time of Cholera นิยายชั้นเยี่ยมของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ จนกลายมาเป็นภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักผ่านมุมมองของไมค์ เนเวลล์ ซึ่งเคยมีผลงานดีๆ ผ่านมือมาแล้วหลายเรื่อง”


ไม่ต่างอะไรจากภาระทุกข์อันหนักอึ้งของชีวิตเช่นการเกิด แก่ เจ็บ และตาย อีก 2 สิ่งที่ชีวิตมนุษย์ต้องประสบพบเจอ คล้ายกับการที่เราต้องมองเห็นแสงสว่างในยามกลางวันและความมืดมิดของค่ำคืนนั่นก็คือ ความรัก และการรอคอย พนันกันได้เลยว่าไม่มีใครบนโลกที่จะหลีกหนีไปได้

แม้ว่าผมเองจะจดจำไม่ได้เสียแล้วว่าเคยเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าความรักขึ้นครั้งแรกเมื่อไร อาจจะเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน หรืออาจจะยาวนานกว่านั้นหลาย 10 ปี ไม่น่าแปลกที่ผมจะจำไม่ได้เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่น่าจดจำไปเสียหมดทุกเรื่อง สำหรับการรอคอยนะหรือ? ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าผมเป็นเพื่อนสนิทกับการรอคอย เท่าที่ผมจดจำได้ เราทั้งคู่ได้พบกันครั้งแรกในคืนฝนตกครั้งหนึ่ง คืนที่ดูปรกติเหมือนกับวันธรรมดาๆ ผู้คนเร่งร้อนหลบฝน ผู้ชายและผู้หญิงกางร่มวิ่งหนีออกไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนตัวผมกำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังในรถยนต์ของคุณพ่อรอคอยการกลับมาของท่านอย่างใจจดใจจ่อ เพียงเพื่อจะเอ่ยปากถามคำถามที่ไม่สำคัญสำหรับผู้ใหญ่เพียงคำถามเดียว

ก่อนหน้าการพบกันกับการรอคอย ในช่วงเวลาขณะนั้นผมมีความจำเป็นต้องไปพักอยู่กับคุณยายที่บ้านอีกหลังหนึ่ง หลังจากทำความรู้จักจนเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับบ้านแปลกหน้าหลังนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งสนามหญ้าสีเขียวพร้อมหลุมสำหรับเล่นดีดลูกแก้ว ห้องนอนน้อยๆ สีครีมอบอุ่น โทรทัศน์เครื่องเล็กดื้อรั้นที่มักจะแสดงภาพไม่ชัดเสียเลยในช่องที่ฉายการ์ตูนเรื่องโปรด มื้ออาหารที่เคยระคายสัมผัสรับรส ความเงียบเหงาที่แทงทะลุหัวใจในช่วงกลางวัน รวมไปถึงคุณยายที่มีอายุห่างกันนับปีไม่ถ้วน จนในหัวค่ำวันหนึ่งหลังจากที่ผมนอนหลับไปตามตารางเวลาของบ้านคนแก่ ไม่กี่วันหลังจากรอยยิ้มของผมเริ่มปรากฎบนใบหน้าและความผูกพันเริ่มโอบกอดผมอย่างนุ่มนวลเบามือแล้ว ผมกลับมารู้สึกตัวตื่นอยู่คนเดียวบนเบาะหลังรถยนต์ของคุณพ่อ สายฝนส่งท่วงทำนองไพเราะแต่เหมือนเล่นด้วยโน้ตและคีย์ที่เหงาที่สุดเมื่อตกลงมากระทบกับผิวรถ ความมืดหม่นของค่ำคืนคล้ายกับจะมาแย่งชิงเอาความรู้สึกดีๆ ของผมแล้วนำไปทิ้งในที่แสนไกล น้ำตาของผมไหลเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง สนามหญ้าและบ้านหลังเล็กนั่นเล่ามีใครเก็บใส่กระเป๋าของผมมาด้วยหรือไม่ยามเมื่อผมจากมาอย่างไม่ทันตั้งตัว คำร่ำลายังคงค้างอยู่ในลำคอ แห้งผากเสียจนไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ผมรอคอยอยู่ที่นั่น อย่างนั้นเนิ่นนาน รอคอยการกลับมาของชายคุ้นหน้าซึ่งแปลกหน้าที่สุดสำหรับสถานการณ์นี้ รอคอยจะโวยวายและยิงคำถามใส่อย่างไม่ใยดีว่า... คุณยายที่นอนข้างๆ ผมก่อนผมหลับไปเล่า ท่านอยู่ที่ไหน? คุณยายอยู่ที่ไหน?

ผมร้องไห้งอแงไม่หยุด คิดถึงคุณยายที่น่ารักสุดขั้วหัวใจ ผมร้องไห้ตามประสาเด็กไร้เดียงสา หากประโยคที่ว่า “น้ำตากลายเป็นสายเลือด” มีอยู่จริง ค่ำคืนนั้นผมก็คงจะได้เห็นกับตาตัวเอง และไม่นานนักผมก็ผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและเผลอกลืนคำถามหายลงคอไปจวบจนทุกวันนี้

การรอคอยบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักมักทรมาณหัวใจเสมอ...

เช่นเดียวกับการรอคอยคนรักของชายที่ชื่อฟลอเรนติโน อริซา (จาเวียร์ บาร์เด็ม) ชายที่บ้าคลั่งและน่าเห็นใจที่สุดเท่าที่มีใครเคยจดบันทึกไว้ ฟลอเรนติโนเป็นตัวละครใน ‘Love in the Time of Cholera’ นิยายชั้นเยี่ยมของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซหนึ่งในนักเขียนคนโปรดของผม จนกลายมาเป็นภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักผ่านมุมมองของไมค์ เนเวลล์ ซึ่งเคยมีผลงานดีๆ ผ่านมือมาแล้วหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Four Wedding and a Funeral, Mona Lisa Smile หรือ Harry Potter and The goblet of fire

ฟลอเรนติโนตกหลุมรักเฟอร์มินา (จิโอวานน่า เมซโซจิออโน่) ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อครั้งเขาและเธอยังเป็นหนุ่มสาว และนับจากนั้นเธอก็กลายเป็นทุกอย่างที่คงอยู่ในห้วงคิดคำนึง เธอและเขามอบความรักให้แก่กันอย่างลึกซึ้งแม้จะไม่ได้พบหน้ากัน โดยผ่านการโต้ตอบทางจดหมาย รวมถึงบทกวีและเสียงไวโอลินของชายหนุ่มเท่านั้น

ดูเหมือนเรื่องรักบทนี้จะดำเนินไปด้วยดี หากเสียแต่ว่าเขาและเธอกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในระดับของชนชั้นและฐานะ ชายหนุ่มเป็นเพียงพนักงานในสำนักงานไปรษณีย์ประจำเมือง ในขณะที่หญิงสาวเป็นถึงลูกของเศรษฐีเรือเดินสมุทร เมื่อพ่อของหญิงสาวทราบเรื่องที่ดูไม่คู่ควรและดูไม่เลิกราง่ายๆ เช่นนี้ พ่อจึงได้พาเฟอร์มิน่าหนีออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่น เขาทั้งสองอยู่ห่างไกลกัน และแม้จะพร่ำเพ้อถึงกันอย่างไรก็ตาม วันหนึ่งหญิงสาวก็ผิดคำสัญญาไปแต่งงานกับชายที่เป็นถึงนายแพทย์ผู้รู้วิธีรักษาโรคอหิวาต์ที่กำลังระบาดคร่าชีวิตผู้คนอยู่ในขณะนั้น แต่ความรักต่อตัวเธอของฟลอเรนติโนก็ยังมั่นคงไม่เสื่อมคลาย สำหรับคนอื่น เพียงแค่การถอนใจกลับมาโอบกอดตัวเองเช่นเคยอาจเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วการได้รักหญิงสาวกลับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียวในชีวิตและเรื่องอื่นใดในชีวิตก็ไม่มีความสำคัญอันใด

ในขณะที่เวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้าคล้ายการคลานขยับของหอยทากบนพื้นซีเมนต์เย็นเยียบ ฟลอเรนติโนพยายามทุกวิถีทางที่จะลืมเธอ เขาจมลงไปสมสู่อยู่ในรสเพศของสาวแปลกหน้ามากมายโดยปราศจากความรัก แต่ยิ่งผ่านกายของหญิงสาวเท่าไร - จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย - เขากลับได้พบกับความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่า ไม่มีวันใดเลยที่เขาจะหยุดรักเธอ ชายหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเริ่มก้าวเข้ามามีหน้าตาและพื้นที่ยืนในสังคมโก้หรูและทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้สร้างโอกาสหรือถนนนำไปสู่ชีวิตของหญิงสาวได้

จนเมื่อเวลาผ่านไปห้าสิบเอ็ดปี เก้าเดือน สี่วัน เวลาที่ฟลอเรนติโนรอคอยมาแสนนานก็มาถึง สามีของเฟอร์มินาเสียชีวิตลง ฟลอเรนติโนจึงเกิดมีความหวังขึ้นอีกครั้งแม้ตนและเธอจะอยู่ในวัยชรา เขารีบรุดไปพบเฟอร์มินาทันทีที่ทราบข่าว และประกาศตัวอย่างมั่นคงว่า “ผมยังรักคุณไม่เปลี่ยนแปลง”

จากเรื่องราวของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ทำให้ใครหลายคนบนโลกเฝ้าภาวนาให้การรอคอยเกิดขึ้นน้อยที่สุด และขอให้ยิ่งน้อยลงไปอีกหากการรอคอยจะเกิดขึ้นกับความรัก แน่นอนว่ารวมทั้งตัวของผมเองด้วย

เพราะการรอคอยบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักมักทรมาณหัวใจเสมอ...

-: เกลียด :-

ผมไม่ชอบ เสียงถอนใจ ไร้ความก้อง
แต่ก็เกลียด เสียงโห่ร้อง ไร้ความหมาย
ผมไม่ชอบ การยืนเปลี่ยว อย่างเดียวดาย
แต่ก็เกลียด ความมากมาย ของผู้คน

ผมไม่ชอบ การใส่ใจ ไม่ละเลย
แต่ก็เกลียด การนิ่งเฉย ไม่เคยสน
ผมไม่ชอบ รักยิ่งใหญ่ ปักใจตน
แต่ก็เกลียด ความเหงาล้น เมื่อขาดรัก...


14 August 2008

-: บางสิ่งในหัวของไอ้หมาปอ :-

“ไอ้หมาปอ ลูกหมาเชื่องๆ ตัวหนึ่งที่เมื่อถูกเจ้านายเรียกก็รีบกระดิกหางวิ่งมาต้อนรับด้วยความสุขเป็นที่สุด”


ผมไม่ได้รู้ทุกอย่างในโลก
ไม่แน่ว่าโลกก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม

หากเปรียบผมเป็นเหมือนหนังสือ
หนังสือของผมคงไม่ได้สนุกจนวางไม่ลง
ไม่ได้ถูกใจคนอ่านทุกเพศทุกวัย
คงไม่ได้ลึกลับเขย่าขวัญ ไม่ได้ตลกโปกฮา ไม่ได้กวนตีนเสียดสี
ไม่แน่มันอาจเป็นเพียงหน้ากระดาษเปล่า หรือไม่ก็อาจมีข้อความอยู่ไม่กี่บรรทัด หรืออาจยาวหลายหน้า


หนังสือตัวผมอาจวางสงบนิ่งอยู่บนชั้นหนังสือ ไม่มีใครรู้จักถ้าไม่หยิบเปิดดู หน้าปกอาจไม่สวย อาจไม่มีรูปภาพชวนดึงดูด อาจเป็นหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ ที่ไม่ได้อยู่ในกระแส หรืออาจเป็นงาน Mass Production จำพวก Kitch ผมก็ไม่รู้ได้ อาจเป็นหนังสือภาพ อาจเป็นหนังสือเด็ก อาจเป็นหนังสือที่มีแต่ตัวหนังสือยืดยาวหลายหน้าจนบางครั้งก็คล้ายสารานุกรม หรือน่าเบื่อเหมือนพจนานุกรม อาจเป็นเพียงเศษกระดาษ หรือสมุดบันทึกเล่มใหญ่ที่มีนิยายเรื่องดีที่ยังเขียนไม่จบค้างอยู่

ผมอาจเป็นเพียงมนุษย์แกะตัวหนึ่งที่กระโดดข้ามรั้วของคนนอนไม่หลับในคืนหนักๆ
อาจเป็นเพียงอิเรน่าตัวละครในนิยายของมิลาน คุนเดอร่าที่กำลังเดินทางกลับบ้านเกิด
อาจเป็นแมลงวันหนุ่มที่อยากสวยในนิยายภาพเรื่องล่าสุดที่ผมกำลังจะปิดต้นฉบับและรอคอยการนำเสนอสำนักพิมพ์
ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าผมภูมิใจที่ได้เป็น แม้ว่าใครหลายคนจะไม่เห็นด้วย

แต่ก็ช่างมัน ผมไม่ได้รู้ทุกอย่างบนโลก ผมไม่ใช่นอสตราดามุส ผมเป็นเพียงไอ้หมาปอ ลูกหมาเชื่องๆ ตัวหนึ่งที่เมื่อถูกเจ้านายเรียกก็รีบกระดิกหางวิ่งมาต้อนรับด้วยความสุขเป็นที่สุด เมื่อเจ้านายไม่มีเวลาเล่นด้วยหรือเจ้านายไม่เห็นหัว โมโห ไม่พอใจ ผมก็ได้แต่เดินหลังค่อมท่อมๆ ออกจากบ้านไปนอนเซื่องอยู่ใต้ต้นลำพู นอนดูหิ่งห้อยเหงาๆ แอบน้อยอกน้อยใจโกรธเกรี้ยวอยู่เพียงลำพัง และเมื่อไรที่เจ้านายเรียกก็รีบกระดิกหากวิ่งไปหาด้วยความสุขเช่นเคย

หรือไม่แน่ว่าไอ้หมาปออาจเป็นนักเขียนที่มีผู้อ่านติดตามและชอบพอในเนื้องาน อาจมีความสำคัญเด่นดีจนกล้าที่ลุกขึ้นเดิน 2 ขา ทอดทิ้งเจ้านายไปง่ายๆ โดยคิดเพียงว่าหมาก็มีสิทธิจะเลือกเส้นทางหมาๆ ผมอาจไม่ใช่นักเขียนที่ดีที่สุดในโลก ยังไม่มีงานรวมเล่มของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หรือถึงมีก็คงขายไม่ดีจนสามารถซื้อคฤหาสถ์ได้สัก 30 หลัง ผมเคยนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟในค่ำคืนหนึ่งแล้วมีคนเดินเข้ามาถามว่า “คุณคือณ พงศ์ วรัญญานนท์ หรือเปล่าครับ ผมชอบงานของคุณมากเลย” ตอนนั้นผมนึกแปลกใจว่ายังมีคนอื่นๆ อีก ที่รู้จักไอ้หมาปอในนัยยะอื่นๆ ที่แตกต่างจากที่ผมเคยรู้จัก แม้กระนั้นผมก็ยังยินดีที่จะวิ่งรี่เข้าไปหาเจ้านายด้วยความสุขหากเขายังรักและใส่ใจในตัวผม ยังรักที่จะขุดหลุมฝังรอยถ่ายของตัวเอง ยังสนุกกับการขบกระดูกและเห่าใส่คนแปลกหน้า ผมแน่ใจว่ามีผู้คนที่โด่งดังในชื่อเสียงและเกียรติยศมากกว่าผมอีกมากมาย และผมก็เป็นไอ้หมาปอตัวนี้เช่นเคย ไอ้หมาปอที่คนบางคนก็ยังคงมองข้ามหัวไหล่ผ่านไป ไม่สนใจ ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเขา ไม่มีผมสักคนบนโลกรัสเซียคงไม่ได้หยุดรบกับจอร์เจีย จีนคงไม่ได้หยุดการไล่ล่าเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิค 2008 ยายมีคงไม่เลิกขายก๊วยเตี๋ยว และไอ้หมาปอยังคงไม่หยุดฉี่รดล้อรถยนต์

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขณะนี้เวลาบ่าย 2 โมงครึ่ง บทเพลงWhat A Difference A Day Made ในเวอร์ชั่นของ Jamie Cullum หนึ่งในบทเพลงโปรดที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องสั้นที่ไม่ได้เรื่องของผมกำลังเล่นอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเครื่องคอมพิวเตอร์

“What a difference a day made, twenty four little hours
Brought the sun and the flowers where there use to be rain
My yesterday was blue dear
Today I'm a part of you dear
My lonely nights are through dear
Since you said you were mine”


และผมก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ ฟังเพลงที่ชื่นชอบ แม้ว่าอากาศจะไม่ดี อารมณ์คนรอบข้างจะไม่ดี ผมอาจจะรู้สึกเหมือนว่าไม่เคยทำอะไรที่ถูกต้องสักที
แต่... ผมว่าผมก็รักในวิถีชีวิตของผมในระดับที่ยังพอรับได้...
"สุขสันต์วันพฤหัสบดี!!

11 May 2008

-: จดหมายถึงคุณความว่างเปล่า :-

-: จดหมายถึงคุณความว่างเปล่า :-

"แด่... นักเล่านิทานสุดที่รัก หนูทัพเพนนี
และดินสอสีทุกแท่งบนโลกใบนี้"



ในห้องนั่งเล่นของคืนที่แสนยาวนาน
11 มีนาคม 2551
ถึง คุณความว่างเปล่า

          สวัสดีความว่างเปล่า คุณยังคงอยู่รอบตัวผมใช่ไหม? นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้วผมอาจไม่ต้องนั่งมองท้องฟ้ายามเย็นแล้วรู้สึกเปลี่ยวเหงาเช่นในวันนี้ เพราะคุณยังคงอยู่ข้างๆ นั่งมองดูผมที่กำลังเหม่อลอยดูปุยเมฆสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น คุณกำลังโอบกอดร่างกายของผมให้รู้สึกอบอุ่นและมีคุณค่า ลมหายใจอุ่นๆ ของคุณที่พัดผ่านต้นคอทำให้ผมรู้ว่าคุณยังคงเอนหัวลงมาซบที่หลังและยังคงต้องการผมอยู่เสมอ แม้ภายหลังคุณจะทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วคุณก็เป็นเพียงความว่างเปล่าที่ผมสัมผัสไม่ได้อย่างที่ผมต้องการก็ตาม
          ค่ำคืนอันอบอ้าวเริ่มกล่าวทักทายผมแล้ว ผมยังคงนั่งมองดูดวงดาวต่อไปอีกพักใหญ่ ผมชอบนั่งมองดูดวงดาวเพราะมันดูสุกสว่างสวยงามเหมือนผืนผ้าใบที่ปะพรมด้วยจุดสีขาวนับแสน เคยมีคนบอกผมว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นดูเหมือนหลังคาสีดำที่เป็นรูมากมาย และคนๆ นั้นเองที่เคยเอาหัวพิงกันแล้วนั่งมองดูดวงดาวน้อยใหญ่ไหลไปมาตามการเคลื่อนที่ของรถบัสจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ ผมยังจำทุกความรู้สึกในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ผมเก่งใช่ไหมล่ะความว่างเปล่าที่รัก แต่ความเก่งอาจไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้คนมีคุณค่าได้หรอกนะ
          ความว่างเปล่าครับ สำหรับคุณแล้ว คุณคิดว่าคนเรามองเห็นคุณค่าของคนรอบข้างอย่างไร สำหรับตัวผมเอง ผมคิดว่าคนเราต่างมีคุณค่าในตัวเองทุกคนขึ้นอยู่กับการตีความ และการเชื่อมั่นยอมรับ เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมเพิ่งจะได้รับคำชมเชยในงานเขียนและวิธีการมองโลกของผมจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมเคารพ รุ่นพี่คนนี้ศรัทธาในตัวของผมมาตลอดไม่ว่าผมจะเลือกเดินทางไปในทิศทางไหน แน่นอนว่าเขาก็ตั้งความหวังกับผมอยู่ไม่น้อย แต่ผมก็ไม่ได้เลือกที่จะเดินไปในหนทางที่จะทำให้ตัวเองต่ำต้อยลงเสียหน่อย เพราะจุดมุ่งหมายของผมคืออนาคตที่สดใสทั้งความเป็นอยู่และความสุขเช่นเดียวกับที่คนทั้งโลกต้องการ
          แต่ก็มีหลายๆ คนที่กลับไม่เชื่อมั่นในคุณค่าของผมและมองว่าสิ่งที่ผมเป็นเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีคนบนโลกนี้ขำ ความลึกในการมองโลกของผมกลับกลายเป็นความจริงจังอันแสนน่าเบื่อ การมีจุดประสงค์ของชีวิตกลับขัดหูขัดตากลายเป็นอุดมคติที่ดึงชีวิตผมให้ห่างออกจากสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกัน ทั้งๆ ที่ผมก็อยากกินข้าวในร้านอาหารหรูหรา อยากซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ตัดเย็บประณีตกว่าเสื้อผ้าราคาถูก อยากดื่มเหล้าราคาแพงและเล่นสนุกไปตามที่หัวใจเรียกร้องต้องการเช่นเดียวกับคนทั่วไป เพียงแต่ผมมีวิธีคิด - ที่จะตื่นเพื่ออะไร หลับเพื่ออะไร ตื่นเพื่อใคร และหลับเพื่อใคร - เป็นของผมเองก็เท่านั้น ผมไม่อยากให้ใครคาดหวังว่าผมควรจะเป็นให้เหมือนคนอื่น แต่ผมอยากให้เขาเหล่านั้นมีความหวังว่าผมจะต้องเป็นอย่างเช่นคนอื่นเขาเป็น คือมีความสุขทั้งร่างกายและหัวใจ...
          โชคไม่ดีเท่าไรเลยความว่างเปล่าที่รัก คนหนึ่งที่คิดเช่นนี้กลับเป็นคนที่ผมรักสุดหัวใจ และในวันนี้เธอก็เดินจากผมไปเสียแล้ว ผมคงไม่ต้องพิสูจน์อีกต่อไปว่าผมรักและพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นมากแค่ไหน ผมมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งเหล่านั้น มีความสุขที่ได้เดินเคียงข้างคอยดูแลกันและกัน มีความสุขที่ได้โอบกอดสัมผัสไออุ่น และมีความสุขที่ได้รู้ว่ามีผู้หญิงคนนี้อยู่บนโลกจริงๆ ผมคงจะโชคดีกว่านี้ถ้าเขารู้ว่าเธอรักผม คงจะโชคดีถ้าเธอเชื่อมั่นและยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นเพราะผมจะเป็นยอดผู้นำของเธอได้ก็ต่อเมื่อเธอเชื่อในสิ่งที่ผมกำลังนำ คงจะโชคดีถ้าเธออยากจะฝ่าฝันทุกอุปสรรคและร่วมทางไปกับผมจนวันสุดท้ายของชีวิต คงจะโชคดีถ้าเธอปล่อยวางข้อผิดพลาดกวนใจที่ผมมี นี่เรายังไม่ได้ผ่านช่วงที่ยากที่สุดของความรักไปเสียด้วยซ้ำ

          สวัสดีจะที่รัก เธอยังคงอยู่ใกล้ๆ ใช่ไหม? นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้วฉันอาจไม่ต้องนั่งมองท้องฟ้ายามเย็นแล้วรู้สึกเปลี่ยวเหงาเช่นในวันนี้ เพราะเธอยังคงอยู่ข้างๆ นั่งมองดูฉันที่กำลังเหม่อลอยดูปุยเมฆสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น เธอกำลังโอบกอดร่างกายของฉันให้รู้สึกอบอุ่นและมีคุณค่า ลมหายใจอุ่นๆ ของเธอที่พัดผ่านต้นคอทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังคงเอนหัวลงมาซบที่หลังและยังคงต้องการฉันอยู่เสมอ แม้ในวันนี้เธอจะทำให้ฉันรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วเธอก็เป็นเพียงความว่างเปล่าที่ฉันไม่สามารถสัมผัสผิวกาย กล่าวคำว่ารัก และจับมือเดินเคียงข้างกันตลอดไปอย่างที่เราสองคนเคยต้องการได้ก็ตาม...


ยังคงยินดีที่ได้รู้จักเสมอ
ปอ
ป.ล. ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม ขอให้คุณได้พบกับเขาเสียที คนที่คุณรักเขามากพอกับที่เขารักคุณ ผมอยากให้คุณเข้าใจและรู้ด้วยตัวเองว่าผมไม่ได้คาดหวังมากเกินไป “ว่าความรักที่ทำให้ผมอมยิ้มและร้องไห้อยู่ทุกวันนี้... มันมีอยู่จริง”

21 January 2008

-: ความง่วงของคนอื่น :-

-: ความง่วงของคนอื่น :-


ก่อนช่วง ดวงอาทิตย์ จะนิทรา
เส้นขอบฟ้า พาดสาย กับปลายเสา
ลดช่วง ร่วงเลื่อน เคลื่อนหนักเบา
กระตุกเอา เสาล้มทับ กับราตรี
ราตรีแตก กระจายตัว ทั่วท้องฟ้า
เป็นดารา พราววับ สลับสี
สลับเส้น เต้นเตร่ บนเวที
ม่านเคลื่อนคลี่ คลายลาก เปิดฉากคืน
.....

อีกไม่กี่ช่วงเดิน อีกไม่เกินช่วงตื่น
จะล้มทับรับรื่น กับเนื้อนุ่มเนินหมอน
ช่างเหนื่อยเหน็ดเข็ดหน่าย จะแกล้งตายทำนอน
ไม่สนเย็นสนร้อน ไม่อยากรู้ดินฟ้า
มากคำถามตามติด ธุรกิจธุรกา
แม่พ่อลุงหลานป้า ใครจะด่ารดหัวใคร
จะไม่ยุ่งการเมือง เรื่องของเด็กตัวใหญ่
จะเกลียดไทยจะรักไทย ท้องไม่เห็นหายร้อง
คนรักจะเลิกรัก ไม่สมัครร่วมห้อง
จะไม่หวังปรองดอง ขอเพียงเตียงยังฟู
ใกล้จะถึงบ้านใกล้ แม้หัวใจหดหู่
ใกล้จะถึงเตียงกู จะล้มทับดับตาย
ชาติจะเผด็จการ กลุ่มทหารเฉิดฉาย
ประชาธิปไตยล้มตาย แต่อย่าเลอะหมอนกู
อีกไม่เกินช่วงเดิน ไม่นานเกินเนิ่นรู้
ทีวีอาจยังเปิดอยู่ แต่กูหลับไปแล้ว


11 January 2008

-: Coffee & Tea, Me & You :-

-: Coffee & Tea, Me & You :-

“เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ”


5 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2550 วันเสาร์ซึ่งไร้ซึ่งสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสัญลักษณ์ของโลก (เคยสงสัยไหมว่าทำไมต้องเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำไมสุดสัปดาห์ไม่เป็นวันจันทร์-อังคาร อังคาร-พุธ พุธ-พฤหัสบดี หรือพฤหัสบดี-ศุกร์) วันหยุดที่คนจะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายออกไปนอกแห่งกรอบวิถีเงินเดือน หยุดเพื่อขยับไปตามความต้องการของตนเองจริงๆ

ผมนั่งห้อยขาอยู่หน้าร้าน ‘เล่า’ บนถนนนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่อยู่กับผู้หญิงคนรักข้างกาย ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นถนนเส้นสนุกเส้นหนึ่งที่ไม่เคยหลับใหลแม้เวลาจะผ่านไปสักสามสิบชาติเศษแล้ว เวลาในขณะนี้มืดครึ้ม และใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที แต่การตื่นขยับจากหลับใหลของถนนเส้นนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากถนนโลกีย์หลายสายในมหานคร และในประเทศไทย เพียงเพราะถนนเส้นนี้ตื่นขยับด้วยแรงเขย่าของศิลปะ และจากไอสดชื่นของกลิ่นความสุข มิใช่ตื่นจากการเขย่าของขวดเหล้าและเต้านม

ผู้หญิงข้างกายนั่งเอนพิงและอ่าน ‘มาทิลดา นักอ่านสุดวิเศษ’ หนังสือของนักเขียนนามอุโฆษ ‘โรอัลด์ ดาห์ล’ ในขณะนั่งจิบชา English Breakfast อันมีกลิ่นหอมละมุนและรสอุ่นละไม ดาห์ลวางแผนเขียนหนังสือเล่มนี้ยาวนานถึง 20 ปี เพื่อจะบอกเล่าถึงเด็กหญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งที่พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุเพียงขวบครึ่ง และสอนให้ตัวเองอ่านหนังสือมาตั้งแต่สี่ขวบเนื่องจากไม่เคยมีใครสนับสนุนให้เธออ่านหนังสืออย่างจริงจังเลย ผมชายตาไปมองเห็นบางข้อความในหนังสือแล้วทำให้อดชายตาไปมองบางหน้ากระดาษของหนังสือที่จั่วหัวตัวใหญ่ว่า ‘ประเทศไทย’ ไม่ได้

“พ่อคะพ่อซื้อหนังสือให้หนูซักเล่มได้ไหมคะ” เธอพูด
“หนังสืออะไรกันละ—อยากได้หนังสือบ้าๆ ไปทำไม” พ่อย้อนถาม
“เอาไว้อ่านสิคะพ่อ”
“ให้ตายเถอะ! ดูทีวีมันเสียหายตรงไหน เรามีทีวีจอกว้าง ขนาดสิบสองนิ้วอย่างดี ยังจะขอหนังสืออีก แกมันถูกตามใจมากไปหน่อยแล้วนังหนู!”


ผมสะดุ้งเสีย 2 ครั้ง เมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาแบบนี้อาจจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยปัจจุบัน แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นทีวีจอกว้างสัก 52 นิ้ว และไม่แน่อีกไม่นาน บทสนทนาเหล่านี้อาจจะยังคงซ้ำเดิม มีเพียงแต่จอทีวีเท่านั้นที่กว้างใหญ่ไพศาลขึ้น...

โรอัลด์ ดาห์ล มีเชื้อสายนอร์เวย์ เกิดที่แคว้นเวลล์ ในเครือจักรภพอังกฤษ หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเมื่ออายุ 18 ปี ดาห์ลก็เข้าสมัครทำงานกับบริษัทเซลล์ในแอฟริกา จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองดาห์ลได้สมัครเป็นทหารของกองทัพอากาศอังกฤษ สงครามในครั้งนี้เองที่เกือบพรากเมทิลดาไปจากมนุษยชาติ เพราะดาห์ลประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกและได้รับบาดเจ็บสาหัส ครั้นสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ดาห์ลก็เข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยทูตทหารอากาศอังกฤษประจำกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา และจึงได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกจากการชักนำของนักเขียนชื่อดังคือ ซี เอส. ฟอร์เรสเตอร์ เพียงเรื่องแรกก็ได้รับการตอบรับจากนักอ่านอย่างดียิ่ง

เมื่ออายุมากขึ้นโรอัลด์ ดาห์ล จึงเริ่มหันมาเขียนวรรณกรรมเยาวชน ปรากฏว่างานเหล่านั้นกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านวัยเยาว์ทั้งหลาย จนอาจกล่าวได้ว่า ‘ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางทุกประเทศทั่วโลก และประเทศที่มีการแปลหนังสือจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาของตน แทบจะไม่มีชาติใดในจำนวนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักชื่อของ โรอัลด์ ดาห์ล’

ผมปิดหนังสือของผมที่อ่านค้างอยู่ในมือลงเมื่อกาแฟคาปูชิโน่ร้อนถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้า หนังสือรวมเรื่องสั้นของฮารูกิ มุราคามิ ที่ผมอ่านอยู่อาจจะไม่สดใสคู่ควรกับบรรยากาศอ่อนโยนและลมที่กำลังพัดเย็นสบายในยามนี้ ผู้หญิงข้างกายหันมาส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้ แตะมือสัมผัสอ่อนนุ่มที่ข้างแก้ว ก่อนจะเปรยขึ้นว่าลมหนาวทำให้กาแฟร้อนจัดในถ้วยอุ่นพอดีให้ดื่มได้เลยทีเดียว เราส่งยิ้มให้กันและกัน แม้ค่ำคืนจะส่งแสงมืดทำลายความคมชัดของรอยยิ้มนั้นลงไปบ้าง

ผมและเธอสูดอากาศสดชื่นของถนนสายศิลปะเข้าเต็มปอดอีกครั้ง เธออ่านเมทิลดาที่เหลือค้างเล่มในขณะที่ผมระบายลมหายใจอีกห้วงทิ้งไปกับสายลมหนาว แล้วเริ่มต้นอ่านบรรยากาศดีๆ เก็บไว้ในความทรงจำ เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ แต่แค่มีคนที่รักและเข้าใจนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เท่านี้ก็ทำให้หัวใจอุ่นได้แล้ว บางครั้งความอบอุ่นก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลสักเท่าไร ผมคิดว่าเมทิลดาเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน

4 January 2008

-: น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ :-

-: น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ :-



ข้าพระพุทธเจ้า นายณ พงศ์ วรัญญานนท์ ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์