17 December 2012

-: มากกว่าฝัน (More than Dream) :-

“I wake up in the morning with a dream in my eyes.”
- Allen Ginsberg (1926 - 1997, กวีและฮิปปี้ชาวอเมริกัน)

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากที่ผมปล่อยตัวเองให้ดิ่งลึกสู่การหลับไหลและท่องเที่ยวไปในโลกแห่งความฝัน ก่อนหน้าการนอนหลับผมยังรู้สึกเป็นปรกติดีทุกอย่าง ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่เป็นแผลหรือบอบช้ำ แต่อาจเพราะความเครียด ระบบการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ หรือเหตุผลอื่นๆ หลังจากที่โลกแห่งความฝันดีๆ ก่อตัวและดำเนินผ่านไป ชั่วครู่ใหญ่ภาพในจินตนาการของผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางร้ายกาจ

ตี 1 : บางบริบทในภาพฝัน
ผมฝันว่ามีชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาพร้อมมีดปลายแหลมด้ามยาวในมือ เขาปรี่เข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึง เงื้อมีดขึ้นสูงแล้วปักลงบนช่วงอกของผมสุดแรง ทันใดนั้นผมก็สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้น รุนแรงจนต้องยกมือคลำหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยหวังว่ามันยังคงนึกครึ้มอกครึ้มใจเคลื่อนไหวอยู่โดยไม่นึกท้อแท้ต่อภาระและหน้าที่ซ้ำซาก เสียงหวีดร้องของตัวเองจากความฝันยังคงดังสลับกับเสียงหายใจหอบจากความจริง จนเมื่อสติกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งผมก็ต้องพบกับเรื่องที่น่าแปลกใจที่สุดในชีวิต... ผมรู้สึกเจ็บปวดบริเวณบาดแผลที่เกิดขึ้นในฝันอย่างรุนแรง!

ความฝัน (Dream) ทำอะไรกับเราได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ? แค่เพียงภาพในจินตนาการแต่กลับสร้างผลกระทบให้แก่โลกยามตื่นได้จริงๆ? ถ้าเช่นนั้นความร่ำรวย พละกำลัง แม้แต่การบินได้ในโลกแห่งความฝันก็อาจกลายเป็นจริงได้ไม่ยากเกินไปใช่ไหม?

ตี 2 : ที่มาที่ไปของความฝัน
ผมย้อนคิดไปถึงบทความเรื่อง New Trends in Dream Brain Research ที่ได้มีโอกาสอ่านก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยริชาร์ด วิลเคอร์สัน (Richard Catlett Wilkerson) บรรณาธิการของนิตยสารออนไลน์ The Internet Dream E-zine และผู้อำนวยการของ DreamGate หรือศูนย์ความรู้ด้านความฝันซึ่งเผยแพร่อยู่บนไซเบอร์สเปซ บทความชี้ให้เห็นถึงวิธีการทำงานของสมองในขณะที่กำลังหลับฝัน ข้อสมมุติฐานต่างๆ ระยะในการนอนหลับ จนกระทั่งผลสรุปที่แปลผลออกมาเป็นบทบันทึกทางวิทยาศาสตร์ จนช่วยตอบคำถามสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงพร่ำเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ ว่าความฝันคืออะไรกัน? แล้วเราจะฝันไปทำไม?

หลักฐานย้อนหลังไปในยุคของอาร์เธมิโดรุส อีฟีซิอุส (Artemidorus Ephesius) หมอเกี่ยวกับความฝัน (Dream Doctor) ที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดในช่วง 100-200 ปีก่อนคริสตกาล เขาเคยประกาศว่าความฝันต่างๆ เป็นเพียงประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของแต่ละคน ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านั้น เขาหักล้างความเชื่อของผู้คนในยุคนั้นที่พร่ำบอกว่าความฝันเป็นความลับของพระเจ้าที่ส่งมาถึงเรา จนกลายเป็นข้อถกเถียงเรื่อยมา กระทั่ง 2,000 ปีให้หลัง ในปี 1899 หนังสือเรื่อง The Interpretation of Dreams ซึ่งเป็นผลงานอันโด่งดังของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ก็ถูกตีพิมพ์ออกมาสมทบ โดยฟรอยด์เชื่อว่าความฝันหรือภาพหลอนในตอนกลางคืนของคนเรา เกิดมาจากความปรารถนาของจิตใต้สำนึกซึ่งปรากฏออกมาทางด้านหลังม่านกั้นของการหลับ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นแค่เพียงทฤษฎีที่แม้แต่ลูกศิษย์คนโปรดของเขาอย่างคาร์ล จุง (Carl G. Jung) ก็ไม่ได้เห็นด้วยมากนัก เนื่องจากฟรอยด์นำความฝันไปผูกติดกับจิตใต้สำนึกทางกามารมณ์เท่านั้น

โดยคาร์ล จุงเป็นคนแรกๆ ที่นำความฝันไปผูกเข้ากับเรื่องของจิตจักรวาล หรือมหาปัญญาสากลของจักรวาล (Intelligent Universe) ที่เชื่อกันว่าทุกๆ องค์ความรู้ ทุกๆ ความคิดและความรู้สึกของมนุษย์จะลอยขึ้นไปเก็บสะสมไว้ในจักรวาลอันเวิ้งว้าง และความฝันก็เป็นประตูเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตไร้สำนึก และประตูนี้เองที่จะใช้เปิดไปสู่จักรวาลยามค่ำคืนที่มืดมิด หรือสู่แหล่งจิตไร้สำนึกของจักรวาลตลอดไปไม่ว่าจักรวาลจะขยายตัวไปถึงไหน (Carl Jung : Memories, Dreams, Reflection; 1963)

ตี 3 : ความฝันในสายตาของนักวิทยาศาสตร์
ในช่วงปี 1950 นาธาเนียล คลีธแมน (Nathaneil Kleitman) แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก้ (University of Chicago) และนักเรียนผู้ช่วยของเขาชื่อยูจีน อาเซรินสกี้ (Eugene Aserinsky) เริ่มทำการบันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตาผู้ถูกทดลองที่กำลังนอนหลับในห้องทดลองการหลับ โดยคลีธแมนหวังว่าจะพบตัวบ่งชี้ว่าเมื่อไรการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของดวงตาจะเกิดขึ้น จนกระทั่งในปี 1953 ทั้งสองพบว่า ระหว่างที่หลับ ดวงตาจะมีการเคลื่อนไหวประมาณ 6 ช่วง ซึ่งแต่ละช่วงจะใช้เวลานานประมาณ 20 นาที นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งชื่อช่วงเวลาที่ดวงตามีการเคลื่อนไหวว่า Rapid Eyes Movement (REM)

นักประสาทวิทยาได้ค้นพบว่าในช่วงที่ดวงตามีการเคลื่อนไหวหรือช่วง REM sleep นี้ เป็นช่วงที่คลื่นสมองของผู้หลับมีความถี่สูงขึ้นและกล้ามเนื้อก็เกิดการคลายตัวอย่างเห็นได้ชัด จึงกลายเป็นสมมุติฐานที่ว่าช่วง REM Sleep คือช่วงที่คนเรากำลังเกิดความฝัน และช่วงเวลาหลับช่วงอื่น (non-REM) ก็เป็นช่วงที่ไม่เกิดความฝันขึ้น

หลังจากการโต้เถียงอย่างรุนแรงระหว่างนักวิชาการในศาสตร์ต่างๆ ถึงปรากฏการณ์ความฝัน อีกประเด็นหนึ่งที่นักวิจัยได้มีการทดลองก็คือเรื่องสีของความฝัน โดยเคยมีรายงานผลการศึกษาจากนิตยสารวิทยาศาสตร์ New Scientist ที่ต่อยอดมาจากประเด็นสมมุติฐานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดันดี (The University of Dundee) ว่า ความฝันของคนเราจะเป็นได้ทั้งสีและขาวดำขึ้นอยู่กับความถี่ในการรับรู้เมื่อครั้งที่ตื่น เช่นคนที่มักจะต้องจดจ้องอยู่แต่กับภาพขาวดำ ดูทีวีขาวดำ ใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์ขาวดำอยู่บ่อยครั้ง ก็จะส่งอิทธิพลมาทำให้ความฝันกลายเป็นสีขาวดำ และในอีกทางหนึ่งก็เช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นผู้ร่วมค้นพบโครงสร้างโมเลกุลของกรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิกหรือ DNA อย่างฟรานซิส คริก (Francis Crick) แห่งสถาบันศึกษาทางชีววิทยาซอล์ค (Salk Institute for Biological Studies) ก็เคยได้กระโดดมาร่วมการสังฆกรรมในเรื่องความฝัน โดยได้วิจัยร่วมกับเกรม มิชิสัน (Graeme Michison) นักชีวโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ (University of Cambridge) พวกเขาได้ร่วมกันยืนยันว่า ‘เราฝันเพื่อลืม’ เพราะสมองจะใช้ความเงียบในช่วงที่เรากำลังหลับ ให้ระบบต่างๆ ปล่อยข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ออกมา ภาพที่ไม่จำเป็นและยุ่งเหยิง ความจำต่างๆ และความสัมพันธ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นในความฝัน ตรวจสอบคุณค่า และหลังจากนั้นจึงลบออกจากสมองส่วน Cortex (Ole Vedfelt; The Dimensions of Dreams: The Nature, Function, and Interpretation of Dreams; 2002)

จนกระทั่งในปี 1970 เจ. อัลแลน ฮอบสัน (J. Allan Hobson) และโรเบิร์ต แมคคาลี่ย์ (Robert W. McCarley) แห่งโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด (Harvard Medical School) ได้ทำการทดลองในเรื่องของ REM Sleep ต่อยอดขึ้นไปอีก พวกเขาได้ข้อสรุปใหม่ที่ล้มล้างสมมติฐานของฟรอยด์โดยทั้งคู่สรุปว่าปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา เช่น การเกิดอารมณ์ (Emotionality) ความต้องการที่เกิดจากแรงกระตุ้น หรือจิตใต้สำนึกไม่ได้กระตุ้นให้เกิดความฝันตามที่ฟรอยด์คิด แต่เป็นเพราะการตอบสนองทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นในสมองต่างหากที่ทำให้ความฝันปรากฏขึ้นมาในระหว่างค่ำคืนของเรา และสารเคมีก็ไปกระตุ้นให้สมองควบคุมกล้ามเนื้อ จนเกิดการเกร็งหรือคลายตัวอย่างรุนแรง ทำให้ค่ำคืนนี้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาและยังรู้สึกเจ็บในบริเวณที่เพิ่งจะถูกแทงมาในความฝัน

ตี 4 : ความฝันในสายตาของคนช่างฝัน
การพยายามหาเหตุผลของการแพทย์จากซีกโลกตะวันตกก่อให้เกิดการโต้เถียงกันไปต่างๆ นานา ทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับข้อสรุป ผลการทดลอง และสมมุติฐานไร้ประโยชน์มากมายยังถูกซุกอยู่ในห้องทดลองทั่วโลก โดยไม่ได้ให้ความกระจ่างแจ้งที่แท้จริงใดๆ แก่เราเลย แต่ความลับเหล่านี้กลับเป็นมนต์เสน่ห์ที่แสนจะโรแมนติก เมื่อความฝันของผู้คนนับล้านกลายเป็นเรื่องราวเพ้อฝันที่กระตุ้นให้เกิดแรงผลักดันในการดำเนินชีวิตได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ความฝันผลักดันด้วยความคิดและจิตใจ ไม่แปลกที่การพูดคุยกันของขี้เมาน่าสมเพช 2 คนที่กำลังนั่งกินเหล้าอยู่ข้างวินมอเตอร์ไซค์ เปิดเพลงบรรเลงเย็นเยียบ และบรรยากาศรอบกายเป็นใจ จากความฝันลมๆ แล้งๆ อาจถูกกระตุ้นให้ขี้เมา 2 คนมีแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานศิลปะดีๆ ขึ้นมาสักชิ้นจนทั้งคู่มีชื่อเสียง เงินทอง และความสุขที่แท้จริง แตกต่างจากผู้คนที่เดินไปมาในออฟฟิตหรู ปล่อยตัวเองให้แข็งตายอยู่ในโต๊ะสี่เหลี่ยมทอดทิ้งทุกความฝันไว้กับเงินเดือนสูงลิบ

อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) นักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยกล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์จะมีความสุขถ้าอยู่ภายใต้องค์ประกอบ 4 อย่างนั่นคือ ได้อยู่ในที่อากาศโล่งโปร่ง ได้ทำงานสร้างสรรค์ หลุดพ้นจากความทะเยอทะยาน และได้รักใครสักคน ซึ่งถ้ากามูส์ไม่นั่งเทียนสร้างเรื่องนี้ขึ้น เราจะพบได้เลยว่า องค์ประกอบทั้ง 4 ข้อนั้นหาได้ยากยิ่งในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างเร่งรีบเย่อหยิ่งและทะเยอทะยาน นั่งทำงานภายในออฟฟิตอึดอัดคับแคบ งานหลายประเภทที่มิได้เพียงแต่ไม่สร้างสรรค์ แต่ยังแช่แข็งความสร้างสรรค์ให้อยู่ร่วมกับความแปลกแยกอันร้ายกาจในตู้แช่ช่องเดียวกัน และที่สำคัญเราแทบจะไม่มีคนให้รักหรือดูแลความรักที่มีกันได้ไม่ดีนัก เพียงเพราะมัวแต่คิดกังวลอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง…

นี่อาจเป็นจุดประสงค์เดียวกันกับ กฏแห่งการดึงดูด (Law of Attraction) ในหนังสือขายดีติดอันดับโลกอย่าง The Secret ของรอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne) ที่กล่าวถึงเรื่องราวปาฏิหาริย์ ความมหัศจรรย์ของแรงบันดาลใจ และความฝันที่ส่งผลให้ผู้ที่คิดหวังอย่างไรก็จะได้รับผลอย่างนั้นอยู่เสมอ เหมือนปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ใน The Matrix หนังไตรภาคที่เขียนบทขึ้นมาโดยได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ปรัชญาพุทธสายมหายานของธิเบต ที่พยายามจะสื่อสารกับผู้ชมว่า ความจริงแล้วเราอาจทำอะไรในโลกใบนี้ได้มากกว่าที่เราเข้าใจอีกเยอะ จะงอช้อน จะควบคุมข้าวของให้ลอยล่องสู่ท้องฟ้า กระโดดขึ้นไปบนหลังคาตึกสูง เอี้ยวตัวหลบลูกกระสุนปืน แม้กระทั่งจะเปลี่ยนจากนักคอมพิวเตอร์ไปเป็นมหาบุรุษที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ผมชื่นชอบไดอะล็อคหลายชิ้นที่ตัวละครพูดขึ้นในหนังเรื่องนี้ เช่นฉากที่พวกเขากำลังซ้อมต่อสู้กันแล้วนีโอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ทุกครั้ง มอร์เฟียร์ซกล่าวกับพระเอกของเราว่า "อย่าคิดว่าคุณเอาชนะผมได้.. แค่ให้รู้ว่าคุณทำได้" แล้วก็พูดต่อไปว่า "หยุดพยายามจะต่อยผม แล้วต่อยผมซะที"

บทพูดจากภาพยนตร์ส่งข้อความบางอย่างมาให้คนในยุคแห่งการตื่นรู้และลุ่มรวยนี้ แม้การมุ่งหวังจะไปในทิศทางของความฝันอาจดูบ้าบิ่นและผิดหลักจรรยาบรรณของโลกที่ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยฐานะ เงินทองและชื่อเสียง คนที่ช่างฝันไม่ได้ทำให้โลกหมุนช้าลง คนที่บ้าระบบไม่ได้ทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น แต่เพียงเพราะคนเราพยายามทำให้ตัวเองได้มีอะไรทำ นอกเหนือจากการนั่งว่างๆ เหมือนเด็กน้อยช่างฝันที่ไม่รู้จักโต นั่งพูดพร่ำไร้สาระกับเพื่อนในจินตนาการไปวันๆ แต่ความไร้สาระ ไม่ใช่ไม่มีสาระ...

ความไร้สาระของ 2 พี่น้องตระกูลไรท์ (Orville and Wilber Wright) ในสายตาคนในยุคหนึ่ง ก่อให้เกิดยานพาหนะที่บินได้
ความไร้สาระของอัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ (Albert Einstein) พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์โลก
ความไร้สาระของดาไลลามะ (Dalai Lama) สร้างความสงบ และสันติภาพ
ความไร้สาระของปาโบล ปิกัสโซ่ (Pablo Picasso) ส่งอิทธิพลอย่างรุนแรงต่องานศิลปะในศตวรรษที่ 20

บางทีความฝันอาจเป็นโลกในอีกมิติหนึ่งที่เราสามารถจะทดลองกระทำอะไรให้เกิดขึ้น แล้วค่อยนำมาต่อยอดปฏิบัติจริงในโลกยามตื่น แค่เพียงตั้งใจที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอีกฝากหนึ่งของถนนแห่งความฝัน ก่อนที่โลกจะตราหน้าว่าเราเพ้อเจ้อกับชีวิต ความรัก และความฝันมากเกินไป แล้วจับเราอาบน้ำ แต่งตัวใหม่ให้เหมือนชาวบ้าน เอาสีน้ำมาวาดยิ้มที่ข้างแก้ม เอาลิควิดมาลบสมองเราออกไปอีกสักหน่อย แล้วจับโยนเขาใส่กลุ่มคนให้เดินปนๆ เอ๋อๆ กลืนหายเข้าไปในฝูงชน

ตี 5 : หลับฝันหวานอีกครั้ง
ความจริง ความใช่ มักถูกมองด้วยสายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าตนรู้จริง ในศาสตร์แขนงนั้นๆ แต่ในทางกลับกันความปลอม ความฝัน ก็ใช่ว่าจะกลายเป็นฝ่ายที่ผิดวันยันค่ำอยู่ฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับประชาธิปไตย ฝ่ายตรงข้ามย่อมมีหน้าที่ระแวดระวัง ตั้งคำถาม และถ่วงดุลอำนาจให้ความจริงเหล่านั้น จริงและใช่อยู่เสมอ

การมองความฝันด้วยดวงตาคนละคู่ แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อมุมมองได้แตกต่างกันคนละขั้ว คล้ายการที่นักวิทยาศาสตร์ตัดสินใจถอดดาวพลูโตออกจากสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล จนเกิดคำแสลงที่แทนความหมายว่าไร้ค่าหรือ ‘Plutoed’ ขึ้นมาในสังคมอเมริกัน มองอย่างง่ายที่สุดคือ ถ้าให้นำโหราจารย์มาตัดสินวิเคราะห์ด้วยเงื่อนไขของศาสตร์นี้ว่าดาวพลูโตยังคงน่าชม และสมควรอยู่ต่อไปในระบบจักรวาลได้ และศาสตร์แห่งโหราเผอิญเป็นศาสตร์ที่คนนิยมนับถือที่สุดในโลก (มีหน่วยงานตั้งอยู่ที่อเมริกาเสียด้วย) ดาวพลูโตก็คงยังไม่กลายเป็นเพียงวลีติดปากของนักภาษาศาสตร์อย่างที่มันเป็นอยู่

ความแปลกประหลาดในความฝันก็จะยังคงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดต่อไป หากทุกสิ่งทุกอย่างยังถูกตัดสินด้วยกรอบความคิดจากตำราเท่าที่เรามีอยู่ในโลกใบนี้เท่านั้น ผีไม่มีในโลกเพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ก็ใช่ว่าผีจะเป็นผีพลาสติกไขลานตัวละสามสิบบาทที่ขายตามตลาดนัดหน้าห้างสรรพสินค้า

ไม่ว่าใครจะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของความฝัน แต่ตอนนี้อาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผลในจินตนาการของผมเลือนหายไปหมดแล้ว ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ตั้งใจว่าคราวนี้จะต้องฝันหวานเรื่องยาวให้ได้สักเรื่อง... และที่แน่ๆ ผมจะคอยลุ้นให้ความฝันแสนหวานของผมกลายเป็นความจริง!

เผยแพร่ครั้งแรกที่ - คอลัมน์ Crush Archive นิตยสาร Crush Magazine (ธันวาคม 2551)

6 August 2012

-: นิทานก่อนตื่นหลังคืนสุดท้าย :-

“แน่นอนว่าความเสียใจและน้ำตาไม่ได้รักษากันง่ายๆ ด้วยสารเคมีหรือมือหมอผู้เก่งกาจคนไหน”

เพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษาถึงออฟฟิตว่าจะเลิกกับแฟนเพราะรักแล้วเหนื่อย เขาเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับคู่ของเขา หลายอย่างที่ผมจับต้องได้คือ มันไม่เกี่ยวกับการที่พวกเขาไม่รักกันก็เพียงแค่มันไม่มากพอ และทั้งคู่ไม่ได้พยายามจะประคับประคองหรือพยายามจะเติมเต็มความรักและความเชื่อใจให้กัน หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงเพราะการไม่พูดความจริงทั้งหมด

ผมเคยคิดเสมอว่า สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ผมต้องการจะกระทำต่อบุคคลต่างๆ รอบกายทั้งที่ผมยกให้เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตและหัวใจ รวมไปถึงต่อเพื่อนร่วมโลกข้างนอกนั่นที่ผมจำเป็นต้องมีกิจกรรมร่วมกันในเวลาและสถานที่ใดๆ ก็ตาม คือการโกหกหรือการเจตนาพูดในสิ่งที่ไม่มีมูลความจริงอันใด เพียงเพื่อทำให้ผมได้รับประโยชน์บางประการจากพวกเขา

แน่นอนว่าผมไม่ได้ถูกโคลนนิ่งออกมาจากท้องของพระเอกนางเอกหัวใจสัตย์ซื่อเยี่ยงนักบุญในนิยายประโลมโลกราคาถูก แต่สิ่งเหล่านี้ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากคำสอน ประสบการณ์ตรง และความเชื่อที่ล่ามพันธนาการผมไว้ตลอดการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยคำถามง่ายๆ เพียงข้อเดียวที่ว่า ในเมื่อผมไม่สามารถอ่านใจผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนชีวิตได้ ผมก็ควรเลือกที่จะเชื่อใจทุกคำพูดและการปฏิบัติของพวกเขาเสียเลยก็สิ้นเรื่อง? แม้ว่าตลอดระยะเวลาล่วงผ่าน ความเชื่อนี้มักตลบหลังดักทำร้ายกันอยู่เสมอ... แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อผมไม่ต้องการจะคอยคิดวิเคราะห์และระแวงระวังอยู่ตลอดเวลาว่ามีคมดาบอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดเหล่านั้น หากต้องทำเช่นนั้นตลอดเวลา... คุณไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนผมหรือ?

ด้วยเหตุผลตื้นๆ เช่นกันกับการที่ผมเป็นขี้ลืม การต้องมานั่งเชื่อมโยงเหตุผลบางอย่างเข้ากับคำโกหกเพื่อสร้างเรื่องจึงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในพื้นพิภพ ไม่จำเป็นต้องไปหายืมเครื่องจับเท็จของ FBI มาหนีบหูแปะหัว ทุกคนก็สามารถเค้นความจริงทั้งหมดออกมาจากตัวผมได้อย่างง่ายดาย และในทางกลับกัน ผมรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจทุกครั้งเมื่อมีใครโกหกและผมมารู้เองในภายหลัง แม้หลายครั้งที่ผมอาจเลี่ยงที่จะพูดบางประเด็นอย่างจงใจ หรือเงียบนิ่งทำไม่รู้ไม่เห็น แต่ทุกครั้งการแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นไม่เห็นจะเป็นเรื่องสนุกแม้แต่น้อย และต้องจบด้วยการที่ผมมักจะรีบพ่นคำสารภาพออกมาเสียดื้อๆ เพียงเพราะอยากสบายใจและต้องการความเชื่อใจจากอีกฝ่ายเช่นกัน แต่คำถามต่อวิธีการเลี่ยงที่จะพูดหรือนิ่งเฉยไม่พูดแบบนั้น (ด้วยความหวังดี?) นี่เองที่ยังค้างคาอยู่ในจิตใต้สำนึกของผมมาโดยตลอดว่านั่นก็เข้าข่ายการโกหกหรือไม่? และอย่างไร?

ในงานเขียนเรื่อง The silence lie ของบล็อกเกอร์มากประสบการณ์และตกผลึกทางความคิดอย่างคุณลุง Bruce (brucemctague.com) บังเอิญผ่านเข้าตาและความคิดของผมในวันเงียบๆ ตามปรกติเช่นในวันนี้ เขาได้บอกเล่าแนวคิดว่าการไม่พูดหรือเลี่ยงที่จะพูดสำหรับเขาและในมุมมองบางประการของผู้คนแล้ว ก็นับเป็นการโกหกคำโตที่ยอมรับไม่ได้ และพวกเขาเหล่านั้นก็ยินดีจะปลอบประโลมจิตใจของตนเองว่าข้าพเจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิดมิใช่หรือ? โดย Bruce ได้ยกคำกล่าวอ้างจากบุคคลไร้ชื่อผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นเหตุผลในการอธิบายความและสรุปเรื่องว่า “just because you didn’t speak the facts out loud didn’t erase their existence. silence was just a quieter way to lie. - กับการที่คุณไม่ได้พูดความจริงอะไรออกมาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ลบล้างการมีอยู่ของมัน การเงียบเฉยก็เป็นอีกวิธีการโกหกหนึ่งของผู้ที่ไม่ยอมพูด”

แตกต่างจากนักคิดนักปรัชญาอีกหลายคนจากฝั่งประเทศอังกฤษ ในการเข้าร่วมวงวาทกรรมและแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อนิยามและตัดสินว่าการไม่พูดความจริงออกมานับเป็นการโกหกหรือไม่? โดยหนึ่งในพวกเขาคิดว่า “คำพูดไม่ใช่เครื่องมือการสื่อสารที่ดีเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นจะนำมาตัดสินว่าการไม่พูดคือการโกหกคงจะไม่ได้ มันต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้พูดในการพยายามเลี่ยงความจริงประกอบด้วย” บางส่วนในวงเสริมนิยามการโกหกเพิ่มเติมว่า “การโกหกต้องไม่ได้มาจากความเขลา และเช่นเดียวกันต้องไม่ได้มาจากความกลัวที่จะพูดความจริงเพียงเพราะถูกบังคับด้วยการลงทัณฑ์” หรืออาจกล่าวได้ว่าการโกหกที่แท้จริงย่อมเกิดจากเจตนาของผู้พูด ดังนั้นการไม่พูดโดยมีเจตนาที่จะปกปิดความจริงจึงถูกเหมารวมว่าเป็นการโกหกตามที่ลุง Bruce กล่าวอ้างไว้จริงๆ

แม้แนวคิดเหล่านี้จะฟังดูสมเหตุสมผลแล้ว แต่ก็ยังมีแง่มุมที่ละเอียดอ่อนเจือปนอยู่ด้วย ตามที่ Richard Yetter Chappell นักคิดนักปรัชญารุ่นใหม่ชาวนิวซีแลนด์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าการโกหกสามารถให้ความหมายได้มากมายไร้จุดสิ้นสุด ทุกอย่างถูกตีความผ่านการรับรู้และเหตุผลของผู้พูดเอง ซึ่งไม่แน่ว่าบางครั้งอาจเกิดจากความผิดพลาด บางครั้งอาจเกิดจากความเข้าใจผิด หรือบางครั้งก็เป็นเจตนาล้วนๆ ก็ได้ แต่เพราะเรื่องเจตนาและคุณธรรมเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ตัดสินการกระทำของมนุษย์ การไม่เบียดเบียนกันไม่ว่าหนทางไหนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ควรยึดถือไว้เสมอ ในเมื่อใครๆ ก็ไม่ชอบถูกโกหกก็แค่เพียงเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้นกับผู้อื่น เพราะความเชื่อใจย่อมมีค่ามหาศาลสำหรับการอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะในรูปแบบความสัมพันธ์ใดๆ

ในเรื่องของเพื่อนที่เติมเต็มความรักคืนให้กันได้ไม่ดี และไม่พยายามทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจกันได้มากพอตามที่เล่ามาข้างต้นนั้น ไม่นานผมก็ได้ทราบบทสรุปของพวกเขา ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร แน่นอนว่าความเสียใจและน้ำตาไม่ได้รักษากันง่ายๆ ด้วยสารเคมีหรือมือหมอผู้เก่งกาจคนไหน แต่แม้ใครหลายคนอาจกล่าวห้ามและตักเตือนผมในการตัดสินใจแบบนี้กับความรัก แต่ผมก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อใจคนที่ผมรักและพยายามทำให้เธอเชื่อใจผมได้มากพอเช่นเดียวกัน

ความรักที่ดีๆ คือความรักที่เราต้องสบายใจและสุขใจที่ได้ครอบครอง… ไม่ใช่หรือ? คนรักที่ดีๆ คือคนรักที่เราจะเชื่อใจได้เสมอว่าเขาจะคอยอยู่เคียงข้างไม่จากไปไหน… ไม่ใช่หรือ? หรือต่อให้เกิดเรื่องน่าเศร้าที่สุดในโลกอย่างการที่คน 2 คนหมดเยื้อใยรักกันแล้ว เราทุกคนก็ควรจะได้รับการบอกกล่าวอย่างซื่อตรง เพื่อให้โอกาสสุดท้ายในการยื้อรักษาความรักไว้ หรือเพียงส่งคืนความรักให้กันอย่างนุ่มนวลและมีเหตุผล… ไม่ใช่หรือ?

เพราะเป็นความจริงที่ว่า การมอบความรักให้ใครสักคนโดยไม่รู้อะไรเลยเป็นความทรมาณที่สุด ผมจึงเชื่อมาตลอดว่าทุกคนสมควรได้รับสิทธิ์แห่งความเชื่อใจนี้จากกันและกัน เพราะนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมและทุกๆ คนต้องการ... “ไม่ใช่หรือ?”

เผยแพร่ครั้งแรกที่ - คอลัมน์ Big Capsule นิตยสาร Capsule (สิงหาคม 2551)

23 July 2012

-: บางสิ่งที่ได้รู้จากยุโรป :-

มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนที่เยอรมัน แล้วแวะไปทักทายเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์มาบ้าง จำได้ว่าตอนนั้นจะนั่งจดอะไรๆ ที่เราไม่ค่อยได้พบเห็น แล้วรวบรวมไว้เป็น list ดังต่อไปนี้ครับ ใครมีโอกาสได้ไปสัมผัสแล้วเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อไหน ช่วยเพิ่มเติมกันได้นะ (ขออภัย ภาษาเป็นภาษาที่ใช้จดลงสมุดบันทึกตอนนั้นแบบสดๆ และถ่ายทอดตามที่จดแบบเป่ะๆ จึงอาจจะระคายหูบ้าง)
  • ที่เดนมาร์กรถไฟ Metro ไม่มีคนขับ
  • ในรถเมล์ก็ยังมีป้ายไฟและเสียงบอกว่ากำลังจะเข้าจอดที่ป้ายชื่ออะไร
  • คนขึ้นรถที่ประตูทางขึ้นด้านหน้าเท่านั้น ใครสะเออะขึ้นตรงทางลงจะกลายเป็นนักโทษในสายตาคนอื่น
  • เข้าคิวขึ้นรถ ลงรถไฟ ซื้อของ แม่งเข้าคิวทุกอย่าง
  • ซื้อตั๋วรถไฟที่ร้าน 7-11 หรือห้าง แล้วลงไปเสียบใช้ได้ตลอดทาง เช่นขึ้นรถไฟ ต่อรถเมล์ก็เสียบทีเดียวที่สถานีรถไฟแรกหรือรถเมล์คันแรก
  • รถไฟใช้ระบบเชื่อใจไม่มีการตรวจตั๋ว เดินเข้าออกกันให้ขวัก นานๆ ทีถึงจะมีคนขึ้นมาตรวจ
  • ไม่มียามสมองน้่อยมาคอยเตือนคนสมองน้อยว่า ห้ามเหยียบเส้นเหลืองหรือแดร็กอะไร
  • ไม่มีการห้ามนั่งบนพื้น วัยรุ่นคนไหนอยากนอนรอ มึงก็สามารถนอนรอได้เลย ไม่มีใครว่า
  • หมาขึ้นได้แต่ต้องซื้อตั๋วให้หมาด้วย
  • จักรยานขึ้นได้แต่ต้องซื้อตัวให้จักรยานด้วย
  • ระบบขนส่งดี คนเข็นรถเข็นเด็กกันให้รึ่ม เข็นจากฝากนึงของเมืองไปถึงฝากนึงของเมือง ผ่านระบบขส่งสบายเหี้ย
  • ถุงพลาสติกต้องซื้อ ไม่ให้ฟรี ถ้าลืมเอาถุงผ้ามา ซื้อเสร็จก็โกยอุ้มไปให้หมดอย่าร้องไห้ ไม่งั้นก็เสียเงินซื้อถุงพลาสติกซะ
  • ระบบขนส่งดี อากาศดี จักรยานจึงกลายเป็นยานพาหนะสำคัญสำหรับคนในเมือง มีทั้งแบบ 3 ต่อ ล้อเดียวแบบกายกรรม มีแบบซาเล้งสวยๆ ไว้ให้เด็กหรือสุนัขนั่งไปได้ด้วย
  • สุนัขไปได้ทุกที่ ถ้ามึงขี้เจ้าของจะมีถุงคอยเก็บขี้ทันที
  • มีตู้ให้เอากระป๋อง ขวดพลาสติก ขวดแก้ว ไปหยอดใส่แล้วจะได้สลิปออกมา ไปแลกเงินคืนได้ มีให้เห็นทั่วไป
  • ฝรั่งในเมืองหนาวชอบแดด ที่สวนสาธารณะในวันแดดดี สาวๆ จะได้เห็นหนุ่มกล้ามโต และหนุ่มๆ จะไำด้เห็นบางส่วนของ นม!
  • Net WIFI Free หาได้ทั่วไป แต่ไม่ค่อยแรงและหลุดบ่อย
  • ร้านอาหารไทยมีให้เห็นเพียบ และมื้อหนึ่งอิ่มๆ เราจะเสียไปเกือบ 6,000 บาท
  • ที่เดนมาร์กมีแคปหมูขาย ผลิตและจำหน่ายโดยฝรั่ง อร่อยไม่แพ้ของไทย
  • ร้านอาหารไทยดีๆ ที่มีลูกค้าติดมากๆ เป็นของคนฝรั่ง
  • ร้านนวดไทยมีเพียบเช่นกัน และเกินครึ่งนวดแล้วนาบ
  • เมื่อมาที่นี่เราจะพบว่าบริการโทรศัพท์ VOIP ผ่านอินเตอร์เน็ตถูกเหี้ยๆ แต่เรามักจะไม่กลับไปใช้ในประเทศไทยสำหรับการโทรหากันเอง
  • ทุกคนรอข้ามถนนตรงทางม้าลายอย่างดีเยี่ยม และรถจะจอดให้เราข้ามเสมอๆ
  • นานๆ ทีจะมีฝรั่งวิ่งข้ามถนนกากๆ สักคน 2 คน
  • ขับรถเร็วเกินพิกัดถูกปรับ 6,000 บาทไทย
  • แทบจะทุกแยกของเขาจะไม่มีสัญญาณไฟสำหรับเลี้ยว มันจะมีแต่ตรง คนที่อยากเลี้ยวต้องหาจังหวะกันเอง!
  • แม้ในเมืองหลวง เราก็สามารถรู้ได้ว่าเราจะไปถึงที่หมายกี่โมงเป๊ะๆ
  • ถ้าฝรั่งเขานัดหมายว่าจะออกเดินทางบ่ายโมง พอถึงบ่ายโมงปุ๊บเขาจะไปทันทีไม่มีรอ
  • หน้าร้อนเขาจะมีกลางคืนแค่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง และในหน้าหนาวจะมีกลางวันแค่ 3-5 ชั่วโมงเหมือนกัน
  • คนที่นั่นจะมีความต้านทานต่ออากาศหนาวต่างกัน ในวันแดดไม่ดีและมีฝนพรำของฤดูใบไม้ร่วง เมื่ออากาศเย็นลงจนต่ำกว่า 10 องศา เราจะเห็นฝรั่งทั้งใส่เสื้อหนาวหนาๆ และถอดเสื้อเดิน!
  • ในประเทศเยอรมัน จะสังเกตเห็นฝรั่งแค่ 2 size แบบเห็นได้ชัด ไม่เตี้ยเลยก็สูงลิ่วเลย
  • เด็กๆ แทบทุกคนบ้ากล้อง
  • โบสถ์ของเขาต้องเสียเงินเป็นสมาชิกรายปี ฝรั่งหลายคนจึงไม่ไปโบสถ์
  • ฝรั่งเดินดูดบุหรี่ตามท้องถนนโทงๆ แล้วก็ทิ้งลงพื้นกับโทงๆ ได้ ไม่มีใครโดนจับ
  • ถนนหนทางสกปรกพอสมควรในช่วงหัวค่ำก่อนเข้าที่พัก แต่พอเช้ามาเมื่อเราออกจากที่พัก ถนนมักจะสะอาด!
  • แรกๆ เราจะวิตกกังวลกับการคูณสกุลเงินกลับไปไทยบาทเพื่อเปรียบเทียบความแพง หลังๆ เราจะใช้เงินยูโรเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน!!
  • น้ำก๊อกแดร๊กได้ ไม่จำเป็นอย่าซื้อน้ำเปล่า
  • โค๊กแพงเหรี้ย ไม่จำเป็นอย่าซื้อดื่ม
  • เบียร์ถูกที่สุดถ้าอยากจะหาอะไรดื่ม!
  • เบียร์ถูกที่สุดถ้าอยากจะหาอะไรดื่ม!!
  • เบียร์ถูกที่สุดถ้าอยากจะหาอะไรดื่ม!!!

11 June 2012

ฟ้าโปรยฝัน

31/05/2555

ครึ่งปี 2555 เดินทางมากล่าวทักทายเราแล้ว เวลายังคงเดินไปข้างหน้าเหมือนไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยคิดที่จะหยุดพัก แม้ว่าเวลาช่างเดินนี้จะนำพาทุกอย่างเข้ามาและหลายอย่างออกไป วันนี้ได้มีโอกาสหยิบหนังแผ่นค้างชั้นขึ้นมาดู ไม่รู้ว่าด้วยอยู่บนสุดหรือด้วยอารมณ์ฟ้าโปรยฝนที่กระตุ้นให้เราอยากหยิบภาพยนตร์เกาหลีอย่าง Come Rain Come Shine (เรายังรักกันอยู่ไหม?) ขึ้นมาเล่นในเครื่องเล่น DVD ในคืนเงียบๆ เช่นในคืนนี้

ในหนังกล่าวถึงชีวิตคู่ของตัวเอกทั้งสอง ที่เดินมาถึงการแยกทาง เธอเก็บของส่วนตัวและต้องการจะย้ายออกไปจากบ้านที่ทั้งสองแต่งงานและอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะบทหรือนั่นคือเรื่องจริงของมนุษย์ เธอและเขามีมิติทางความคิดที่ลีกและมากกันทั้งคู่แต่กลับมีบทสนทนาระหว่างกันน้อยนิด น้อยจนไม่แน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่หนังพยายามจะสื่อความดราม่าออกมาแล้วใช้เทคนิคแช่ภาพปนบทพูดที่หลุดมาจากปากของตัวละครอย่างเชื่องช้าและดูน่าอึดอัด ทั้งคู่พูดจากันระหว่างที่เธอกำลังเก็บผสมความรู้สึกและของใช้ส่วนตัวแพ็คลงใส่กระเป๋า และเขาก็สุภาพพอจะยินดีช่วยเหลือให้เธอได้รับความสะดวกสบายที่สุดในการเดินจากไป...

ประเด็นของเรื่องที่ผมรับรู้และเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาก็คือตัวพระเอก ผู้ชายที่ครุ่นคิดในหัวมากมาย และดูจะเข้าใจทุกสรรพสิ่งรวมไปถึงเข้าใจเธอ สิ่งเหล่านี้ซึมผ่านออกมาเป็นบุคลิกที่เงียบงัน ใจเย็น บางครั้งก็เหมือนไร้ความรู้สึก และดูคาดเดาความคิดได้ยากลำบาก ชั่วขณะหนึ่งผมก็หวนนึกถึงตัวเองว่าผมมีมิติเหล่านั้นอยู่บ้างหรือไม่? คำตอบก็คือส่วนใหญ่ในสิ่งที่เขาเป็นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากผมหรืออีกหลายคนที่เข้าใจและพร้อมเข้าใจทุกความเป็นไปของชีวิต พร้อมเข้าใจและคิดอะไรมากมายในหัวจนหลายครั้งมันอาจสะท้อนออกมาเป็นความน่าเบื่อ จืดชืด และไร้อารมณ์ขัน

นั่นเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลและตื่นกลัวให้กับใครบางคนที่มีก้อนความคิดมากมายไหลอยู่ในหัวอย่างผมในคืนนี้ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ชอบ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ชอบ แต่บ่อยครั้งที่มันเป็นตัวตน และเป็นบทเริ่มต้นของคำถามมากมายเช่นว่า ทำไมคนเราเดี๋ยวนี้คิดกันน้อยเกินไป? การคิดมากมายในหัวสร้างภาพความน่าเคลือบแคลงให้คนรอบข้างมากขนาดไหน? หรือแม้แต่เราคิดมากเกินไปจริงๆ ใช่ไหม? มีอะไรหลายอย่างในชีวิตที่ผมและผู้คนยังคงเคยชินกับมัน หลายครั้งที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดอย่างน่าสงสาร แต่บางครั้งก็เป็นสุข ผมและเพื่อนนักเขียน นักดนตรี รวมถึงศิลปินหลายคนเคยสรุปอาการร่วมกันในวงสุราว่า “มันก็แค่อาการคิดที่ใช้กลบความจริงของภาวะระบบรู้สึกสัมผัส (Sensitivity) ทำงานได้เร็วเกินไป” ฟังดูยาก แต่มันก็แค่การที่หลายๆ ครั้ง เราตอบสนองต่อความรู้สึกได้ดิ่งลึกและรวดเร็วมากเกินไปจนไม่ผ่านมันสมอง เราจึงพยายามคิด คิดให้เยอะๆ เพื่อจะหาที่มาและเหตุผลให้ความรู้สึกตอบสนองเหล่านั้นเพื่อไม่ให้ตนกลายเป็นคนมีตรรกกะแปลกประหลาดต่อหน้าผู้อื่น คนที่ชอบหลับตาฟังเสียงฝนกระทบดินและลมวูบลูบไล้ใบไม้ขยับพริ้วไม่อยากเป็นคนบ้าในสังคมที่คนพยายามไม่มองอะไรเล็กๆ เหล่านั้น

ระหว่างการเก็บของของสาวน้อยและการเคลื่อนไหวช่วยเหลือให้เธอได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดของเขา คนทั้งคู่ได้จมลงสู่ความทรงจำที่ต่างคนต่างเคยได้ประสบพบเจอร่วมกันมา หนังสือเล่มเก่าเล่มแล้วเล่มเล่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำเขียนไว้อย่างละเอียดเหนือชั้นกว่าเนื้อหาสาระในนั้น ข้าวของเครื่องใช้ที่แม้ว่างเปล่ารอการยัดลงในกล่องพร้อมเดินทางแต่กลับหนักอึ้งด้วยความรู้สึกและเรื่องราวมากมายบรรจุอยู่ล้นกล่อง ไม่เคยหล่นหายไปไหน เพียงแต่เขาและเธอไม่เคยใช้เวลาร่วมกันนานขนาดนี้เพียงเพื่อแกะเปลือกแห่งความเคยชินแล้วหยิบความทรงจำทุกชิ้นขึ้นมาอวดกัน

ฝนยังคงตกโปรยเม็ดเหยียดหยามสายฝนในฉากหลังเรื่อยเงียบ ความน่าอึดอัดระหว่างคนช่างคิดช่างรู้สึกทั้งสองยังคงดำเนินผ่านบทสนทนาเบาหวิวและน้อยชิ้นราวกับหยดน้ำได้ชะล้างมันให้หายไปหมดแล้ว แต่ในระหว่างบรรทัดของสิ่งที่ผมได้รับกลับมาจากพวกเขาคือคนทั้งคู่ยังคงมีเยื้อใยในความรู้สึกอยู่ ผู้ชายที่แคร์จนปิดปากเงียบกริบไม่ขัดขืนต่อการจากไปของภรรยา และผู้หญิงเอาแต่ใจที่รู้สึกมากมายและขี้เกรงใจจนปฏิเสธทุกความหวังดีของสามี ฝนในภาพยนตร์ตกอย่างไม่รู้จักอาย ไม่นานนักถนนข้างนอกก็ถูกปิดและกลบทับตัดขาดกลายเป็นสัญลักษณ์ของการกักขังคนรักทั้งคู่ให้อยู่ในบ้านหลังเดิมที่หล่อเลี้ยงความรักและขับเคลื่อนคนทั้ง 2 มาโดยตลอด ไปไหนจากกันไม่ได้ ออกจากชีวิตกันไปไม่ได้ ไม่นานนักเมื่อฝุ่นที่จับสิ่งของต่างๆ เริ่มปลิวหล่นตกลงพื้น คำถามของคนทั้งคู่ที่ถูกส่งออกมาผ่านสายใยตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก็เกิดขึ้น คำถามที่อาจตอบด้วยการโอบกอดอย่างเห็นแก่ตัวสักครั้ง การเหนี่ยวรั้งและถามย้ำตัวเองหลังไม่เคยกล่าวถามมาเนิ่นนานแล้วเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไปไหน คำถามที่ควรถามกันตั้งแต่ต้นเรื่องที่อาจยังอบอุ่นและมีความหมายอยู่ในถ้อยคำอยู่ด้วยซ้ำ คำถามว่า... เรายังรักกันอยู่ไหม?

ผมปิดหนังเมื่อใกล้จบเรื่อง แล้วผลอยหลับไปกับเสียงฝน หรือบางครั้งคนเราก็ไม่พร้อมจะรับรู้บทต่อไปก่อนเริ่มหรือเลิกรัก ไม่พยายามทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเรารักมากแค่ไหน หรือผมจะคิดมากเกินไปจริงๆ ขอเวลาผมให้คำตอบต่อสักหนึ่งฝัน

24 May 2012

-: Space และบางแง่มุมของชาตรี :-

“เขาพบว่าเมื่อคนเราถูกจำกัดอยู่ในกฏกรอบใดๆ มากเกินไป ก็จะเผยธาตุแท้แห่งมนุษย์ออกมา”

ชาตรีกำลังนั่งเขย่าขาตามจังหวะดับเบิ้ลเบสอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สองหูถูกเสียบคาไว้ด้วยเครื่อง Mp3 ที่กำลังส่งเสียงเพลงจังหวะนุ่มไพเราะอย่าง Dream a little Dream of me ของ Nat King Cole นักร้อง นักเปียโนแจ๊สชาวอเมริกัน พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ผู้คนที่เดินผ่านหลังเขาเริ่มน้อยลงทุกทีๆ จนสักพักก็เหลือเพียงถนนว่างเปล่า เขายังคงปล่อยสายตาเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล

ท่ามกลางสังคมที่หมุนเร็วจนน่าเวียนหัว ผู้คนต่างเร่งรีบ แย่งกันกิน แย่งกันเดิน แย่งกันหายใจเช่นนี้ การนั่งปล่อยอารมณ์โดยไม่แคร์สายตาใครอย่างที่ชาตรีทำ อาจสร้างความสงสัยและรำคาญใจให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้นได้ไม่น้อย ทั้งๆ ที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนกลับต้องการเพียงมุมสงบเล็กๆ ให้ตัวเองได้ตื่นขึ้นมาแล้วมีอาหารกิน มีที่อยู่อาศัย มีเสื้อผ้าใส่ มียารักษาโรค และที่สำคัญคือมีความสุขใจเพียงแค่นั้นไม่ใช่หรือ? แล้วชาตรีผิดตรงไหน ถ้าต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ หลังวันทำงานอันหนักหน่วง?

Space - ในความหมายเชิงปัจเจกบุคคล
ตัวตน (Self) และอัตลักษณ์ (Identity) เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกันและมีความสัมพันธ์กับวิชาหลากหลายแขนงทางสังคมศาสตร์ ทั้ง สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา และปรัชญา โดยซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ผู้คิดค้นแนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มิได้เป็นสัตว์ที่มีเหตุผลดังเช่นที่พวกเขาเชื่อหรืออยากเป็น หากแต่ความคิดของมนุษย์ถูกกำหนดโดยพลังแห่งจิตไร้สำนึกที่ซ่อนเร้นและหลุดรอดจากความเข้าใจของมนุษย์ตลอดมา

เขาพบว่าเมื่อคนเราถูกจำกัดอยู่ในกฏกรอบใดๆ มากเกินไป ก็จะเผยธาตุแท้แห่งมนุษย์ออกมาผ่านการกระทำ ความคิด ความเชื่อ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตน ซึ่งจะถูกกำหนดให้แสดงออกโดยจิตไร้สำนึก (unconscious), แรงขับ (driver) และความปรารถนา (desire)

และอันที่จริงแล้วการแสดงออกของมนุษย์เมื่อสูญเสียพื้นที่ส่วนตัวให้แก่พื้นที่สาธารณะมากเกินไป จะไม่ใช่เพียงการนั่งติสต์แตกห้อยขาอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนชาตรีทำแต่เพียงอย่างเดียว เพราะตามเงื่อนไขของฟรอยด์นั้น มนุษย์จะมีกลไกที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันพื้นที่ส่วนตัวของตนเองที่เรียกว่า ‘Ego Defense Mechanism’ ซึ่งประกอบไปด้วย

  1. การไม่ตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่ง (Ambivalence) เป็นสภาวะที่ Ego ไม่ตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่งให้เด็ดขาดลงไป แต่จะตกอยู่ในสภาวะสองจิตสองใจ
  2. ปฏิกิริยาการหลบหนี (Avoidance) เป็นปฏิกิริยาการหลบหนีจากวัตถุ ผู้คน หรือเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเจ็บปวด เนื่องจากต้องข่มความรู้สึกที่พลังทางเพศและความก้าวร้าวอันแฝงอยู่ในจิตไร้สำนึกถูกกระตุ้นให้สำแดงความปรารถนาออกมา
  3. การหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง (Fixation) เป็นสภาวะที่หยุดอยู่กับที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเพราะประสบการณ์อันเจ็บปวด (Trauma) เช่น ชาตรีที่เคยสูญเสียพ่อแม่ก็จะไม่สร้างความรักกับใครอีกเลยแม้แต่พอลล่า เทเลอร์ หากจะเกาะยึดอยู่กับความรู้สึกสูญเสียที่เกิดขึ้น
  4. การเลียนแบบ (Identification) คือการปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคล หรือสิ่งของที่ตนชื่นชอบ โดยการพยายามปรับเปลี่ยนด้วยความรู้สึกทางจิตใจ มิใช่เพียงพฤติกรรมเท่านั้น เช่นการที่ชาตรีแสดงพฤติกรรมให้เหมือนกับชาลี (ใคร?) ซึ่งอาจเป็นดารา นักแสดงหรือตัวละครต่างๆ
  5. การป้ายความผิดให้ผู้อื่น (Project) คือการลดความวิตกกังวล โดยการโยนหรือป้ายความผิดไปให้กับผู้อื่น
  6. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) คือการที่แสดงออกในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตนรู้สึก เพราะคิดว่าสังคมอาจยอมรับไม่ได้
  7. การเก็บกด (Repression) เป็นการเก็บความรู้สึกผิด ความคับข้องใจเอาไว้ในจิตใต้สำนึกจนกระทั่งลืม ซึ่งการเก็บกดนี้หากต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้มากอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้
  8. การขจัดความรู้สึก (Supersession) มีลักษณะคล้ายกับ Repression แต่เป็นกระบวนการขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไปจากความคิด และเป็นกระบวนการที่เกิดอย่างที่ผู้กระทำมีความรู้ตัวและตั้งใจ ในขณะที่ Repression นั้นไม่รู้ตัว
  9. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) คือการหาเหตุผล หาคำอธิบาย มาอ้างอิง มาประกอบการกระทำของตนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น
  10. การชดเชยหรือการทดแทน (Substitution/Compensation) การชดเชยหรือการทดแทนด้วยการหาทางออก ในอันที่จะแสดงความต้องการของตน เช่น ชาตรีต้องการระบายความก้าวร้าวก็หันไปเล่นกีฬาทดแทน หรือวิพากษ์วิจารณ์ศิลปะ เป็นการชดเชยในสิ่งที่สังคมยอมรับได้
  11. การถดถอย (Regression) คือการหนีกลับไปอยู่กับสภาพอดีตที่ตนเคยมีความสุข เช่น ผู้ใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดก็แสดงอาการกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง 
  12. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy / Day Dreaming) คือการคิดฝัน หรือสร้างวิมานขึ้นเองเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่สามารถเป็นจริงได้
  13. การแยกตัว (Isolation) คือการแยกตัวให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง
  14. การหาสิ่งที่มาแทนที่ (Displacement) คือ การระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ

ผลลัพธ์ของการมีขอบเขต Space ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ 
ในบทความเรื่องย้อนรอยมวลหมู่มนุษยชาติของเจมส์ ชรีฟ ได้เผยให้เรารู้ว่าบรรพบุรุษมนุษย์ไม่กี่ร้อยคนมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่แอฟริกา ก่อนที่จะเดินทางมุ่งไปทางตะวันออกเมื่อราว 200,000 ปีที่แล้ว และการแยกย้ายไปยังทวีปต่างๆ นี้เอง ที่ทำให้มนุษย์มีรูปร่างหน้าตาและเชื้อชาติใหม่ๆ เกิดขึ้น จนจบลงด้วยจำนวนประชากรบนพื้นโลกราว 7,000 ล้านคนในปัจจุบัน 

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเดินทางออกจากแอฟริกาของบรรพบุรุษ มาจากการขาดซึ่ง Space ส่วนตัวเมื่อจำนวนของประชากรต่อพื้นที่เริ่มหนาแน่นขึ้น เช่นเดียวกับการย้ายที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ จากเมืองหลวงไปสู่หัวเมืองใหญ่ที่ยังพอมีสาธารณูประโภคให้ใช้อย่างสบายมือและไม่ต้องไปรบรากับคนหมู่มาก อย่าง เชียงใหม่ พัทยา รวมไปถึงหัวหิน เหมือนที่ชาตรีเคยเอ่ยปากกับผมอยู่ครั้งหนึ่ง “เฮ้ย! กูอยากจะไปใช้บั้นปลายชีวิตที่เชียงใหม่ว่ะ” ก่อนที่ผมจะสวนกลับไปว่า “เขาไม่ต้อนรับมึงหรอก” แต่ห้ามชาตรีอย่างไรก็คงยาก เพราะตามแผนที่การเดินทางของมนุษย์ได้บอกแก่เราว่า การย้ายถิ่นฐานเพื่อเพิ่มพื้นที่ส่วนตัวให้ตนเองจะยังคงมีอยู่ตลอดไปตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้เป็นสัตว์สังคม

การอพยพจาก Private Space สู่ Public Space 
จากข้อมูลเหล่านี้ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้ชาตรีได้ไม่น้อย เพราะใครหลายคนรวมถึงเขาคงเคยสงสัยอยู่ว่า ถ้ามนุษย์ต้องการพื้นที่ส่วนตัวจริง แล้วทำไมสังคมในรูปแบบ Public Space อย่าง Hi5, mySpace รวมไปถึง Facebook ของหนุ่มมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จึงได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับเสียงตอบรับอันล้นหลาม แม้แต่ชาตรีก็มีกับเขาไปด้วย 

ซึ่งถ้าหากมองให้ดีแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการอพยพของผู้คนจากโลกใบจริงไปสู่โลกเสมือน เพราะในปัจจุบันนี้โลกใบจริงเริ่มมีข้อจำกัดและริดรอนสิทธิการแสดงออกถึงเรื่องส่วนตัวมากขึ้น จนสร้างความรำคาญและความอึดอัดใจให้แก่ผู้อยู่อาศัย แต่เมื่อข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์และวัฒนธรรมสมัยใหม่เริ่มบังคับไม่ให้ผู้คนโยกย้ายถิ่นฐานไปไหนต่อไหนตามใจแบบยิปปี้ การแพ๊กกระเป๋าแล้วเดินทางสู่โลกเสมือนจึงได้เริ่มต้นขึ้น

บทสรุป 
เพราะความผิดเพี้ยนในจิตใจมนุษย์อาจเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ครั้งที่โลกได้พลิกเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม กฎระเบียบอันยุ่งเหยิงได้สร้างเงื่อนไขให้ชาตรีและมนุษย์เราแบกรับไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ต้องทำงานก็ต้องตื่นแต่เช้า ต้องมีเงินก็ต้องขวนขวายทำงานหนัก ต้องทำงานหนักก็ต้องเหนื่อย และเมื่อต้องเหนื่อย ชาตรีก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ความสุข ขณะนี้ชาตรีกำลังนั่งเขย่าขาตามจังหวะดับเบิ้ลเบสอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหมดทั้งดวงแล้ว ถนนเส้นเดิมที่ชาตรีนั่งยังคงว่างเปล่า 

เขาลุกเดินไปสตาร์ทรถยนต์คันหรู แล้วเริ่มขับเข้าไปหาความวุ่นวายบนพื้นที่ส่วนรวมอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้… บ้ายบายชาตรี พรุ่งนี้เจอกัน! 

บรรณานุกรม 
1. เอมอร ลิ้มวัฒนา. พื้นที่สาธารณะ พื้นที่ส่วนตัว และเรื่องตัวตนบนไซเบอร์สเปซ ใน บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน. 2551. 
2. ไชยันต์ ไชยพร. Post Modern Man คนกับโพสต์โมเดิร์น. สำนักพิมพ์ openbooks. 2552. 
3. Fritjof Capra. The Turning Point: Science, Society, and the Rising Culture. Publisher: Bantam. 2527. 
4. เจมส์ ชรีฟ (James Shreeve). ย้อนรอยมวลหมู่มนุษยชาติ ใน National Geographic ฉบับภาษาไทย. มีนาคม 2549.

เผยแพร่ครั้งแรกที่ - คอลัมน์ Crush Archive นิตยสาร Crush Magazine (พฤษภาคม 2552)

18 May 2012

-: ไม่ใช่เรื่องแปลก :-

18/05/2555

เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก...

มีอะไรหลายอย่างที่รบกวนจิตใจของผมมาโดยตลอดการใช้ชีวิต คนเรามีอะไรบ้างที่เป็นนิสัยส่วนตัว อะไรบ้างไหมในตัวเขาที่คนในสังคมหรือคนรอบข้างไม่ยอมรับ มีใครบ้างไหมที่จะมาทำให้นิสัยส่วนตัวที่เขาอาจไม่ได้ชอบแต่ก็เป็นตัวเขาหายไป หรืออาจไม่หายแต่สามารถมองข้ามประเด็นกวนใจเหล่านั้นไปได้

มันไม่ได้ยากที่ใครบางคนนั้นจะเข้ามาทำให้เราได้รับความรู้สึกสบายใจลงตัว แต่ผมคิดว่ามันยากที่เราจะสามารถทำให้เขารู้สึกอย่างเดียวกันนี้กลับไปด้วยเช่นเดียวกัน... ความรักและความสัมพันธ์มันจึงเริ่มต้นขึ้น และมีปัญหากันอยู่ต่อไปในหลายๆ คู่ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ เชื่อสิว่าในอนาคตเทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ดีขึ้นไปกว่ายุคหินเท่าไรนัก

เช่นนิสัยส่วนตัวสำคัญอันหนึ่งที่คล้ายกับตัวผม ซึ่งผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมชอบมันรึเปล่า? และมันมีปัญหาในการใช้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน? เพียงแต่หลายครั้งที่ผมอยากจะนั่งพักอยู่ลำพัง หรืออยู่กับคนรัก แค่นั้นห้ามมากไปกว่านี้ และเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล ในหูมีดนตรี ในมือมีปากกาและสมุดเล่มหนึ่งไว้คอยขีดเขียนและวาดเส้นเล่นโดยที่ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร นั่นคือสิ่งที่นักจิตวิทยาผู้หนึ่งบอกกับผมว่า คนในลักษณะนี้เป็นคนที่ในส่วนลึกแล้วเพิกเฉยและรำคาญสังคม (นักจิตวิทยาผู้นั้นกล่าวว่าต่อต้านสังคม แต่ผมว่ามันดูรุนแรงไปกับจุดประสงค์ของคนอย่างผมและเพื่อนๆ อีกหลายคนที่เป็นแบบนี้)

นั่นคือเราไม่ชอบและไม่เห็นจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปร่วมวาทกรรมหรือกายกรรมตามธรรมเนียมที่ทุกคนดำเนินอยู่ เช่นผมเป็นคนรักประเทศไทยมาก อยากคิดและสร้างการพลิกเปลี่ยนสังคมให้เป็นไปได้ด้วยดีในบางประเด็นก็หลายครั้ง แต่ก็มองไม่เห็นว่าการเข้าแถวหน้าเสาธงจะมีผลอะไรกับลูกลิงลูกค่างที่ไม่ได้สำนึกในความเป็นชาติจากการยืนเหงื่อไหลหยอกเล่นกันอยู่ไม่กี่นาที หรือเช่นการที่ผมไม่เชื่อว่าระบบการศึกษาไทยที่เป็นอยู่จะสร้างบุคลากรคุณภาพต่อสังคม (เน้นว่าต่อสังคม) ให้เห็นได้มากเท่าไรนัก เพื่อนฝูงแวดล้อมของผมที่จบปริญญาดีๆ สุดท้ายตายไปกับทิฐิบางประการก็เยอะ เพื่อนที่ร่ำเรียนมาน้อยกลับเป็นพระที่ดี เป็นคนที่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยสังคม หรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีใจบุญก็มาก หรือการที่ทุกคนต้องไปยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรูเลิศกลางเมือง แต่งตัวสวยงามตามระบบสังคมและตีตราคนใส่รองเท้าแตะผ้าเก่าขาด กางเกงม่อฮ่อม เสื้อขาวซีดย้วยที่ไปเดินอยู่กลางพารากอนว่าเป็นคนไร้สกุลอันน่าสมเพศ (ผมเคยแต่งตัวแบบนี้ไปที่พารากอนเพื่อการทดลองและถูกมองเช่นนี้จริงๆ)

ผมสรุปไปเพียงว่าการที่เราเพิกเฉยต่อสังคม (ทั้งๆ ที่บางครั้งก็จำเป็นต้องเข้าร่วม) เพียงเพื่อไม่ได้เห็นความจำเป็นและชื่นชมว่าการใช้ไม้บรรทัดแบบนั้นแบบนี้ที่เขาวัดกันไปกันมา มันจะเที่ยงธรรมและสร้างผลดีต่อโลก ผลก็คือกฏแห่งสังคมที่ใช้พิพากษากันจริงๆ อย่างกฏหมายกลับกลายแป็นเรื่องที่น่าขันสำหรับบางคนไปได้ คนเรามักพิพากษาคนอื่นอย่างรวดเร็วด้วยไม้บรรทัดที่สังคมสร้างขึ้น ใครพวกมากชนะศึก ใครพวกมีอำนาจฉลาดสุด และกลับกลายเป็นการสร้างสังคมช่างติของนักวิจารณ์แบบพวกมากลากไปก่อฟืนสุมไฟเผาแม่มดแบบที่เห็นกันอยู่ตามสังคมเสมือน (เดี๋ยวนี้คนเราขี้เกียจและรักการมีภาพลักษณ์กันขึ้นเยอะ) ผ่านช่องทาง Social Network ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

หลายครั้งจึงไม่แปลกที่ผมปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมดลงเสียดื้อๆ แม้จะดูไร้เหตุผลสำหรับบางคน หรือการที่ผมอยากจะนั่งพักอยู่ลำพัง หรืออยู่กับคนรัก แค่นั้นห้ามมากไปกว่านี้ และเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล ในหูมีดนตรี ในมือมีปากกาและสมุดเล่มหนึ่งไว้คอยขีดเขียนและวาดเส้นเล่นโดยที่ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร

จริงๆแล้วผมและพวกเราอีกหลายคนแค่เบื่อการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากบางจำพวก ซึ่งมากเสียจนเดินชนไหล่กันได้นับไม่ถ้วน ความเห็นแก่ตัวที่ทุกวันนับเพิ่มทวีคูณขึ้น และกลับเชื่อเสียด้วยว่าเราอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงสังคมอันน่ากลัวนั้น

เพียงแต่เราไม่ขอพิพากษาใคร ไม่วัดมาตรฐาน หรือวิจารณ์ใคร แค่ในขณะที่ผมไม่อยากยุ่งกับสังคมเหล่านั้นเมื่อไร ขอผมมีพื้นที่ว่างเล็กๆ ไว้ให้นั่งทอดสายตาถอนใจ โลกส่วนตัวของผมที่ผมจะสามารถสบายใจและอยู่เงียบๆ ได้โดยไม่มีใครมาเหล่ตามองและตำหนิติโทษ โดยเฉพาะถ้ามีคนรักที่พร้อมจะเข้าใจในบางสภาวะนั้นให้ผมนั่งพิง และอ่านหนังสือ ฟังเพลง ขีดเขียนกันไปข้างๆ กันอย่างนั้น พอเบื่อตรงนั้นก็กระโดดไปเดินในพื้นที่สาธารณะกันใหม่ด้วยกัน

ผมว่าใครหลายๆ คน (ผมเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่รู้จักตัวเองดีพอ) ที่เป็นในลักษณะคล้ายกันแบบนี้ แม้นักจิตวิทยาผู้นั้นจะเรียกมันว่าอาการต่อต้านสังคม แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจและรับปากว่าจะไม่ทำแบบนั้นแน่ เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ

เพราะฉะนั้นการมองโลกในบางแง่มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก...

14 May 2012

-: ความว่างเปล่า :-

22/09/2009

ระหว่างการเกิดถึงการตาย คนเราไม่ได้มีอะไรในชีวิต
อย่างมากที่สุดก็คงเพียงการใช้ชีวิตเพื่อทำให้ชีวิตอยู่รอด อย่างที่คนโบราณท่านคิดได้ว่า คนเราต้องการเพียงปัจจัย 4ในการดำรงชีวิตเท่านั้น

เพราะความว่าง มนุษย์เราจึงพยายามหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ว่าง แต่การใช้ชีวิตตอบสนองต่อปัจจัย 4 ไม่ได้ทำให้อนาคตของชาติดีขึ้น ไม่ได้ทำให้เหล็กบินได้สูญพันธุ์ ไม่ได้ทำให้โลกใบนี้หมุนเร็วขึ้น... คนเราจึงได้เริ่มขยับตัวเพื่อการสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาบนโลก เพื่อที่วันๆ หนึ่งจะได้ไม่ว่างเกินไปนัก โดยเฉพาะสิ่งหนึ่งคือการสร้างระบบสังคมที่กำลังวางตัวยุ่งเหยิงอยู่อย่างปัจจุบัน หลายคนหาทางออกด้วยการสร้างความเจริญ และเทคโนโลยี บางคนรักที่จะสร้างเสียงดนตรี ตัวหนังสือ หรือศิลปะ

คนที่ว่างไม่ได้ทำให้โลกหมุนช้าลง
คนที่ขยับไม่ได้ทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น
แต่เพียงเพราะคนเราพยายามทำให้ตัวเองได้มีอะไรทำ นอกเหนือจากการนั่งว่างๆ

ไร้สาระ ไม่ใช่ไม่มีสาระ...
ความไร้สาระของ 2 พี่น้องตระกูลไรท์ในสายตาคนในยุคหนึ่ง ก่อให้เกิดยานพาหนะที่บินได้
ความไร้สาระของอัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์โลก
ความไร้สาระของดาไลลามะ สร้างความสงบ และสันติภาพให้กับโลก
ความไร้สาระของปิกัสโซ่ ส่งอิทธิพลอย่างรุนแรงต่องานศิลปะในยุคศตวรรษที่ 20

ระหว่างการเกิดถึงการตาย คนเราไม่ได้มีอะไรในชีวิต
และมนุษย์ถูกหลอกให้เชื่อว่า "เงิน" คือสิ่งสำคัญสูงที่สุดจนคำว่า "เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้" เริ่มจะกลายเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีน้ำหนัก... มนุษย์ใช้ชีวิตเพื่อกอบโกยเงินทองเข้าตัว จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายในสังคมมนุษย์ อย่างน้อยก็ความวุ่นวายในชีวิตของพวกเขา... โดยอาจจะลืมไปว่าเมื่อพวกเขาตาย (ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการรอคอยที่ยาวนานนัก) เมื่อวันนั้นมาถึง เงินที่แสนมีค่าของเขาจะมีค่าพอที่จะจ่ายให้หัวใจกระตุกเต้นขึ้นได้อีกครั้งหรือไม่

มนุษย์มีความสามารถที่จะเลือกใช้ความว่างของชีวิตตามสิ่งที่พวกเขาเชิ่อ ภายใต้สังคมยียวนกวนประสาท ที่ตัดสินชี้ขาดทุกสิ่งด้วยเงิน
อำนาจเงินที่พวกเราต้องเอาไปเปรียบเทียบดุลกับชาติซีกโลกตะวันตก หรือกับคนกลุ่มเดียว
ความเจริญที่พวกเราต้องเอาไปเปรียบเทียบขนาดกับชาติซีกโลกตะวันตก หรือกับคนกลุ่มเดียว
มาตรฐานที่พวกเราต้องเอาไปเปรียบเทียบค่ากับชาติซีกโลกตะวันตก หรือกับคนกลุ่มเดียว
วัฒนธรรม และความคิดที่เรากำลังจะเออออไปตามชาติซีกโลกตะวันตก หรือกับคนกลุ่มเดียว
ด้วยหน่วยวัดความเจริญ และบรรทัดฐานที่พวกเราไม่ได้สร้างขึ้นเองเลยแม้แต่นิดเดียว...
แม้ใครหลายคนจะไม่เชื่อแบบนั้น

มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรมากไปกว่าปัจจัย 4 ใครหลายคนเถียง แต่ผมเชื่ออย่างนั้น น่าเสียดายที่ความเชื่อนี้ไม่สามารถถูกโน้มน้าวให้เชื่อได้มากนักในสังคมปัจจุบัน เพราะปัจจัย 4 ทุกอย่างก็ถูกมนุษย์ตั้งราคาด้วยเงินไว้หมดแล้ว

ระหว่างการเกิดถึงการตาย คนเราไม่ได้มีอะไรในชีวิต
ใช้ชีวิตอยู่ในความว่างนี้ให้ลงตัว มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องขยับทุกวัน พักบ้างก็ได้
ใช้ชีวิตให้ตัวเองมีความสุข ก่อนที่จะต้องปล่อยโลกใบนี้ให้คนรุ่นหลังรับช่วงความว่างนี้ต่อไป...


2 May 2012

หัดเดิน

มีนาคม 2547

วันนี้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า... หากจะลองเทียบอายุของเรากับอายุของโลกทั้งใบ เราก็ยังคงเป็นเด็ก เด็กที่ยังไม่เคยได้ลองใช้ชีวิตมากมายนัก หรืออาจเคยได้ใช้แต่ก็ยังคงไม่เคยลองใช้ชีวิตเพื่อเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในการผลักดันความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่กำลังพัฒนาผืนนี้ กำลัง... ฟังดูเหมือนเป็นการให้กำลังใจประเทศที่ยังไม่พัฒนา ว่าตอนนี้ประเทศของเรากำลัง... พยายามอยู่อย่างเต็มที่ (ไม่ต้องห่วง)

สังคมมนุษย์เรานี่ก็แปลก หากมองดูกิจกรรมระหว่างช่วงการเกิดถึงการตาย ความจริง... เราก็กำลังนั่งอยู่บนความไม่มีอะไรในชีวิต หากไม่มีงาน ไม่มีความต้องการที่จะใช้เงิน ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกระทรวงกลาโหม ไม่มีธนาคารโลก ไม่มีประเทศไทย ไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกา... ชีวิตของเราก็คงไม่มีอะไรนอกจากการทำให้ตัวเองมีชีวิต
ก็คงแปลกตรงที่ มันมีอะไรๆ สำหรับชีวิตอีกหลายชีวิต

วันหนึ่งหลังจากการเกริ่นกับหลายๆ มนุษย์รอบกายไว้ว่า ผมจะไม่มีอะไรอย่างนี้ซักระยะ หนึ่งเดือน, สามเดือน หรืออาจจะครึ่งปี ไม่ต้องรีบเดินเหมือนอย่างที่ใครๆ หลายคนกำลังรีบเดินกันอยู่ในสังคมสมัยใหม่ ไม่ต้องหายใจเอากลิ่นความวุ่นวายมากมายเข้าสมอง ไม่ต้องทำตัวเป็นเฟืองที่ช่วยเข็นกลไกความเจริญของประเทศ
... ถึงไม่มีเฟืองตัวนี้ เศรษฐกิจโลกก็คงไม่ถึงคราวล่มสลาย

ใครๆ หลายคนรับฟังแล้วกล่าวเตือน โฆษณาตามสื่อโทรทัศน์และวิทยุมากมายกล่าวเตือน ผู้ใหญ่และมนุษย์รอบกายมากมายกล่าวเตือน... จะทำตัวว่างให้มันได้ประโยชน์อะไร? คนเราเกิดมามีชีวิตได้เพียง 20,000 กว่าวัน ชีชีวิตให้คุ้มหรือยัง?

ก็ในเมื่อความคุ้มยังไม่มีเครื่องตวงและมาตราช่างวัด การนอนหายใจรดที่นอนตัวเองทั้งชีวิตก็สามารถคุ้มได้เหมือนกัน หากใช้การตวงของบางมนุษย์... ถ้าหากประโยชน์คือเงิน... มันคงฟังดูน่ากลัวที่เราจะไม่ได้ประโยชน์เหล่านั้น ประโยชน์ซึ่งสังคมและหมู่มนุษย์ร่วมกระแสในเวลาเดียวกันเกือบทั้งระบบกำลังบูชาปัจจัยนี้อยู่

คงต้องมีความจำเป็นมากน้อย ที่เราต้องลุกขึ้นมาหัดเดินให้เหมือนหมู่มนุษย์ร่วมกระแส วันนี้ผมจึงจะเริ่มหัดเดิน ผมอาจยังเดินไม่ค่อยเก่งนักทั้งในตัวผมและสำหรับโลกภายนอก ระหว่างทางมีมนุษย์หลายคนกำลังเดินผ่านผมไปและแซงขึ้นหน้าไปหมดแล้ว ผมจึงหันหลังให้ แล้วออกเดินนำหน้าพวกเขาไปในอีกทิศทาง สักพักหันกลับไป ผมพบว่าผมนำเขามาไกลแล้ว...

1 May 2012

ณ จุดเริ่มต้นของหนังสือ

เมษายน 2548

เช้าวันนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องและความว่างเปล่าของหัวสมอง เสียงจากปลายทางกล่าวซักถามผม 2 ถึง 3 คำถาม ผมกล่าวตอบ 2 ถึง 3 คำตอบ หลังจากวางหูไปได้ไม่นาน ผมรู้สึกว่าหัวอันว่างเปล่าของผมเริ่มถูกซุกด้วยก้อนความคิดมากมาย หัวใจของผมพองโตขึ้น พองโต... จนความรู้สึกของผมปิดมันไว้ไม่อยู่

ผมได้รับโอกาสและช่องทางดีๆ ลากไปยังชีวิตที่น่าจะมีความสุขในอนาคต เป็นเส้นทางสีขาวที่ดูสวยทั้งในยามหลับตาและลืมตา เส้นทางที่ผมเฝ้าฝันมานาน... เส้นทางที่ผมจะได้เริ่มต้นอาชีพนักเขียน และเผยงานเขียนที่ผมรักนั้นสักที

ผมสงสัยว่าทำไมผมถึงมีความสุขในงานเขียนอย่างนั้น?

ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวนักอ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน ทุกๆ ปี หนังสือในบ้านจะเพิ่มจำนวนขึ้นคล้ายการแบ่งตัวของอะมีบา ผมไม่รู้ว่าเปรียบเทียบเกินไปหรือเปล่า แต่ในสายตาของเด็กตัวเล็กๆ ในตอนนั้น ผมหลงเข้าใจไปจริงๆ ว่า หนังสือให้สามารถให้กำเนิดหนังสือกันเองได้

ภายหลังจากการเติบโตขึ้น เวลาทั้งวันของผมหมดไปกับการนั่งมองหนังสือในตู้กระจกใหญ่ ผมได้แต่เอียงคอมองซ้ายที ขวาที และรับรู้ในที่สุดว่า ภายใต้ตู้กระจกข้างหน้านี้มีโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลกองพะเนินกันอยู่ อะมีบาของผมกำลังนอนเกยกันอยู่ในนั้นนั่นเอง

“บุคลากรในประเทศของเรายังอ่านหนังสือกันน้อยมาก” ผมได้ยินคำกล่าวอ้างเช่นนี้มานานหลายปีแล้วจนบางครั้งผมรู้สึกคล้อยตาม เพื่อนร่วมประเทศของผมอ่านหนังสือกันน้อยเกินไปจริงๆ หรือเปล่า? ทั้งที่พวกเขามีโอกาสและไม่มีโอกาส บางครั้งผมอดเผลอคิดไม่ได้ว่าประเทศของเราจะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อคนหลายคนยังไม่สนใจที่จะเปิดประตูตู้กระจกหลังนั้น...

...ผมเลือกที่จะเชื่อว่า โลกของเราหมุนเร็วด้วยแรงมือแห่งเทคโนโลยีและถูกทำให้กลมกลึงสวยงาม สมส่วน คล้ายกับการปั้นเครื่องปั้นดินเผา ด้วยอีกมือของศิลปะ ผมเลือกที่จะเชื่อว่า ผมสามารถทำให้โลกสวยงาม กลมกลึง สมส่วนได้ และผมมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าตามหลักวิทยาศาสตร์ ใครหลายคนเชื่อกันว่าดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกจะมีอยู่ดวงเดียว ที่คอยทำหน้าที่ทางธรรมชาติให้ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแห่งนี้ดำเนินไปอย่างที่พวกเขารู้กัน

แต่ผมเลือกที่จะเชื่อว่า โลกมีดวงจันทร์พิเศษเพิ่มขึ้นอีก 2 ดวงที่ผมสามารถมองเห็นได้ คือดวงจันทร์เทคโนโลยี และดวงจันทร์ศิลปะ

มีขึ้น มีลง ตามแรงโน้มถ่วงของจิตใจ มีแรงดึงดูดระหว่างมวล... มนุษยชาติด้วยดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ มีเดือนเต็มดวง เดือนเสี้ยว และเดือนแรม คล้ายกับจะบอกว่ามนุษย์มีทั้งความสมบูรณ์ในทั้ง 2 ศาสตร์นี้ และไม่มี! มีความสุกสว่าง สกาวใส ในแต่ละวัน แต่ละช่วง แต่ละยุค แต่ละสมัย แตกต่างกัน แม้ว่าในช่วงนี้ดวงจันทร์ดวงที่ทำให้โลกหมุนแรงจะดูโดดเด่นและสุกสกาวมากกว่า... แต่ผมก็ยังเชื่อว่าดวงจันทร์อีกดวงที่ทำให้โลกกลมกลึงสวยงามก็ยังคงเผยแสงสว่างและทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุดอยู่

ไม่มีวันทิ้งกัน ขาดกันไม่ได้...

ลึกลงไป ผมเลือกที่จะหลงไหลส่วนหนึ่งของดวงจันทร์ศิลปะนั่นคือสะเก็ดดาวงานเขียนและงานวรรณกรรม ผมเลือกด้วยเหตุผลหนึ่งที่ว่า ผมขาดมันไม่ได้... อาจไม่ใช่เหตุผลที่ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ผมเชื่อว่างานศิลปะทุกแขนงย่อมช่วยประโลมโลก เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลก

อะมีบาของผมทิ้งโลกนี้ไปไม่ได้!

29 April 2012

รอยยิ้มทำให้ตาสว่าง

29/04/2555


เวลาเริ่มเข้าใกล้ความเช้า ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน รู้ตัวดีว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ ผมลุกขึ้นไปเปิดเพลง Stand by me ของ John Lennon ผู้ชายที่ผมชื่นชมและอิจฉา เขาได้สร้างสิ่งที่สวยงามมากมายให้แก่โลกโดยไม่เคยกลัวหรือนึกกังวลอะไร เพียงเพราะระหว่างที่เขาเดินไปไม่ว่าที่ใด Yoko Ono ผู้หญิงที่เขารักจะคอยอยู่เคียงข้างกันและกันเสมอ...

ลองคิดดูสิ ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมีกี่ความรู้สึก ที่ถูกพับเก็บใส่กระเป๋าความฝัน ซ่อนอยู่ในซอกที่ลึกที่สุด จนบ่อยครั้งที่คุณรู้สึกลำบากเกินกว่าจะรื้อมันขึ้นมาเพื่อชื่นชมอีกครั้ง จนกระทั่งไม่กี่คืนก่อนหน้านี้ท่ามกลางภาพมากมายที่ไหลวนในความคิด ความอ่อนล้าต่อการทำงาน และเหนื่อยล้าต่อการใช้ชีวิตที่เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อยู่ดีๆ ภาพหนึ่งที่เคยถูกเก็บไว้ในกระเป๋าความฝันใบนั้นก็แทรกตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเป็นภาพรอยยิ้มของหญิงสาวที่สามารถมอบพลังให้ผมได้อย่างน่าประหลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อผมตกอยู่ในภาวะอารมณ์เช่นนี้

ในความเป็นจริง เราไม่เคยมีช่วงชีวิตที่น่าจะได้เฉียดใกล้กันเท่าไรนัก แน่นอนว่าเราอาจไม่เคยได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน แม้จะสวนกันไปสวนกันมาในมุมของการใช้ชีวิต อาจเคยเดินสวนกันในพื้นที่สาธารณะ อยู่ในรถข้างๆ กันบนท้องถนน หรือใต้ร่มเงาของฟ้าเดียวกัน แต่คงไม่มีทางเลยที่จะได้มายืนต่อหน้ากันและกล่าวคำทักทายที่ง่ายที่สุดในชีวิตต่อกันอย่างคำว่า... สวัสดี

ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองว่าทำไมหลายต่อหลายครั้งผมจึงนึกถึงภาพของเธอ เช่นครั้งหนึ่งที่ลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งให้ผมค้นหาผู้ดำเนินรายการ ในวิดีโอเปิดสินค้าตัวใหม่ ตลกดีที่แว่บแรกผมนึกถึงเธอ... หรือครั้งหนึ่งที่ผมเปิดเพลงของ Lennon ที่กำลังเปิดวนไปมาอยู่ตอนนี้ แล้วนั่งวาดภาพชายหนุ่มหญิงสาวบนขอนไม้เล่นๆ เรื่อยเปื่อยลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์

“If the sky that we look upon
Should tumble and fall
And the mountains should crumble to the sea
I won't cry, I won't cry, no I won't shed a tear
Just as long as you stand, stand by me”

ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ... และจากที่จะวาดเล่นๆ ผมกลับลงสีจริงจังจนงานเสร็จ หรือครั้งหนึ่งที่ผมนั่งทำดนตรีเล่นๆ ในเวลาว่างที่ตั้งใจจะทำอัลบั้มกับเพื่อนที่ค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ... และใส่คำร้อง ทำนอง รวมถึงอัด demo เพลงจนเสร็จ หรืออีกหลายต่อหลายครั้ง... 

และนั่นเป็นการมาเยือนของเธอที่ผมมีความสุขทุกครั้ง แม้ผมจะไม่เคยรู้จักเธอเลยก็ตาม

จนกระทั่งไม่กี่คืนก่อนหน้านี้ที่ผมกำลังนั่งหลับตาฟังเพลงอยู่ในร้านอาหารคนเดียว ท่ามกลางภาพมากมายที่ไหลวนในความคิด ความอ่อนล้าต่อการทำงาน และเหนื่อยล้าต่อการใช้ชีวิตที่เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป อยู่ดีๆ ภาพหนึ่งที่เคยถูกเก็บไว้ในกระเป๋าความฝันใบนั้นก็แทรกตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตลกดีที่ผมนึกถึงเธอ...  แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้มีพลังเพียงเพื่อการทานข้าวมื้อนั้นให้เสร็จ เหมือนการทำงาน วาดรูป หรือทำดนตรีอย่างที่ผ่านมา ผมขับรถกลับบ้านโดยยังมีความคิดมากมายตามติดมาประหนึ่งเป็นฝูงมอเตอร์ไซค์ของเหล่าเด็กแว้น แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนยิ่งขึ้นคือผมจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนลูกโป่งความคิดในการ์ตูนอย่างที่เป็นมาอีกแล้ว และคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างก่อนที่เวลาและการใช้ชีวิตจะดึงเราให้ห่างออกจากกันไปมากกว่านี้... เพราะนี่เราก็อยู่ห่างกันมากพออยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

ผมดีใจและมีความสุขนะที่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ถึงมันจะเป็นแค่การเริ่มต้นเล็กๆ แต่อย่างน้อยผมก็ได้เริ่มต้น และนั่นก็มีค่ามากเกินจะแอบซุกไว้ในหัวใจ ผมกำลังนั่งอมยิ้มตามรอยยิ้มของเจ้าของในภาพเหล่านั้น รอยยิ้มที่สามารถทำให้ผมอยากลุกขึ้นมาจดบันทึกไดอารี่หลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันมานานแสนนานเช่นในคืนนี้อีกครั้ง 

ถึงจะนอนไม่หลับแต่ก็รู้สึกไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เอ๋? หรือผมจะหลับไปแล้วนะ? เพราะผมยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยในตอนนี้ มันยังดูคล้ายความฝันที่ผมไม่นึกอยากจะหยิกตัวเองพิสูจน์อีกต่อไปแล้ว...

เวลายังเริ่มเข้าใกล้ความเช้าเข้าไปทุกที ไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนต่ออีกสักพัก รู้ตัวดีว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ... เสียงเพลง Stand by me ยังคงวนลูปเล่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน ผมสังเกตได้ว่าท่วงทำนองของดนตรีก็กำลังอมยิ้ม 

“Whenever you're in trouble won't you stand by me, Oh now now stand by me...”

ป่านนี้เธอคงจะนอนหลับไปแล้ว อยากให้อีก 10 ปีข้างหน้า 30 ปีข้างหน้า และตลอดไป ผมก็ยังได้เขียนโดยมีเธอเป็นนางเอกในบันทึกของผมอยู่ และไม่ว่าเธอจะฝันอะไรขอให้คืนนี้ความสุขมาเข้าฝันของเธอ
ยินดี (จริงๆ) ที่เราได้รู้จักกัน...