6 November 2006

-: หากกวีไม่บรรเลงเพลงกวี แล้วจะมีใครสืบสานงานอักษร :-

หากกวีไม่บรรเลงเพลงกวี แล้วจะมีใครสืบสานงานอักษร

พ่อกับลูก คุยกัน ถึงวันนี้
เป็นวันที่ โลกเวียน และเปลี่ยนผัน
ความเจริญ เดินหน้ารุก ขึ้นทุกวัน
ความเป็นไทย ไหวสั่น น่าหวั่นใจ
เอกลักษณ์ ไทยแท้ แต่ครั้งก่อน
พ่อว่า"กลอน โคลงกาพย์ฉันท์ เริ่มสั่นไหว
เด็กรุ่นนี้ เริ่มรู้จาง เริ่มห่างไกล
กลัวคงไว้ เพียงชื่อ หรือไม่จริง?"


---------------------------------

ลูกสาวตอบพ่อ"นู๋ก็แต่งกลอนได้
พ่อจะห่วงอะไรมากมายหลายสิ่ง
หนูเคยอ่านกลอนมาเหมือนกัน พ่อนี่คิดมากจริงๆ
เดี๋ยวนู๋จะแต่งกลอนวัยรุ่นใสๆ หวานปิ๊งให้พ่อดู"


---------------------------------

"หนูเคยอ่าน กลอนเหล่านี้ จากที่ไหน?"
พ่อถอนใจ พลางกล่าวถาม ความจากหนู


---------------------------------

"นู๋ก็อ่านมาจากหนังสือรักวัยรุ่น
มีกลอนหวานวุ่นเขียนอยู่
ถ้าพ่ออยากรู้เดี๋ยวนู๋จะแต่งให้ฟัง"

เพราะเธอมาทำแบบนี้
ทำให้ฉันรู้สึกดีๆ ตั้งหลายครั้ง
และก็เพราะฉันไม่ทันระวัง
จึงตกหลุมรักเธออย่างจังตั้งหลายที
อยากให้เธอได้รู้
สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
มันเกินกว่าจะพูดออกมาเป็นคำดีๆ
กับความรู้สึกที่เรามีที่ผูกพัน


---------------------------------

"กลอนวัยรุ่น แบบนี้ ที่หนูว่า
พ่อฟังมา เหมือนกลาย คล้ายเปลี่ยนผัน
ความถูกต้อง สัมผัสใส่ ไม่คล้องกัน
ฉันทลักษณ์ รสคำนั้น ไม่เหมือนเดิม"

---------------------------------

"นู๋ไม่ยึดติดหรอกค่ะพ่อ
นู๋ว่าเราต้องพัฒนาต่อและส่งเสริม
จะให้ไปแต่งกลอนแบบเก่า
จะไม่พัฒนาเอาและล้าหลังเกิน
นู๋ว่าเราต้องต่อเติมเพื่อก้าวไป

แล้วนี้มันก็เป็นกลอนรักที่นู๋แต่ง
จะให้มาเก่าๆ แข็งๆ นู๋คงทำไม่ได้
ต้องให้มันเก๋ ดูดี มีสไตล์
แต่งเชยๆ เรียบๆ อย่างกลอนรุ่นใหญ่ไม่เข้าตา"


---------------------------------

"กลอนความรัก ประทับใจ ในแบบพ่อ
ไม่ได้แข็ง เป็นตอ เหมือนหนูว่า
ไม่ได้เรียบ เชยไป ไร้ราคา
ไม่ได้เก่า เต่าช้า น่ารำคาญ"

---------------------------------

ถึงม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน…
แม้เกิดใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอพบพาน พิศวาส ไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็น เป็นห้วง มหรรณพ
พี่ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชยผกา โกสุม ประทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำ ผ่องอำไพ ขอให้พี่
เป็นราชสีห์ สิงสู่ เป็นคู่สอง
จะติดตาม ทรามสงวน นวลละออง
เป็นคู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป

(พระอภัยมณีจีบนางละเวง : สุนทรภู่)

---------------------------------

อย่างความรัก ในบทกลอน สุนทรภู่
ที่ท่านชู และสั่งสม เพาะบ่มไว้
ช่วยรักษา ความสวยสด รสคำไทย
เพื่อคงให้ ใครเห็น ความเป็นเรา

ยิ่งถึง ปัจจุบัน ในวันนี้
ถ้อยรส บทกวี มีแต่เก่า
เริ่มจาง ร้างจน คนไม่เอา
คงแย่ แค่ได้เล่า ให้เขาฟัง

"การพัฒนา พ่อเข้าใจ ไม่ขอเถียง
หากแต่เพียง ต้องเข้าใจ ในพื้นหลัง
เราต้องรู้ เข้าใจ ให้จริงจัง
ก่อนจะตั้ง ใจจัด พัฒนา"

---------------------------------

"หนูรู้แล้ว คะคุณพ่อ หนูขอโทษ"
---------------------------------

"พ่อไม่โกรธ แค่กลัวสูญ ในคุณค่า"

---------------------------------

"หนูจะรัก ความเป็นไทย ไม่ร้างรา"

---------------------------------

"ศักดิ์ศรีไทย ให้คู่ฟ้า อย่าทำลาย"

---------------------------------

หาก ไร้มือ ผู้ถือซึ่ง หนึ่งรสศิลป์
กวี สิ้น ไร้ผู้ถือ สื่อความหมาย
ไม่บรรเลง เพลงร้อยกรอง ก้องกำจาย
เพลงกวี คงสุดท้าย ถึงปลายทาง
แล้วจะมี เอกลักษณ์ ประจักษ์ถิ่น
ใคร ได้ยิน รู้หรือไร ว่าไทยสร้าง
สืบสาน รส วรรณกรรม เพื่อนำทาง
งานอักษร ต้องไม่ร้าง จางกวี



---------------------------------


ด้วยรสหนึ่ง ยิ่งหวาน กว่าล้านรส
ด้วยงามงด สีสะคราญ กว่าล้านสี
ด้วยกลิ่นหอม หอมค่า กว่ามาลี
คือวจี ร้อยกรอง ก้องกังวาน
เพราะคำกลอน ขับกล่อม ย้อมชีวิต
เพราะคนคิด คงมี ที่ขับขาน
เพราะคนไทย รักคำ ไม่รำคาญ
กวีกาล จึงไม่สิ้น แผ่นดินไทย
แว่วเพลงชาติ วาดชื่อ ระบือลั่น
คนรักษ์ยัง รั้งยาว ให้ก้าวได้
กลอนต่อบท รสต่อลิ้น ไม่สิ้นไป
จึงคงไว้ ซึ่งศาสตร์ศิลป์ ไม่สิ้นลง...

(หากกวีฯ : ณ พงศ์ วรัญญานนท์)


---------------------------------


ข้อควรระวังในคุณลูก.
๑. แต่งคำประพันธ์ผิดฉันทลักษณ์ ,สะกดคำไม่ถูกต้อง นู๋ = หนู
๒. ในคำประพันธ์ไม่ควรใช้ไม้ยะมก จริงๆ ,ใสๆ = จริงจริง ,ใสใส
๓. เลี่ยงที่จะใช้คำเดียวกันเป็นสัมผัสในตำแหน่งสัมผัสต่อๆมา (สัมผัสซ้ำ)
“หรือไม่จริง” กับ “พ่อนี่คิดมากจริงๆ”
๔. ใช้คนละมาตราตัวสะกดเป็นเสียงสัมผัส (สัมผัสผิดเสียง)
“และส่งเสริม” (แม่กม) กับ “ล้าหลังเกิน” (แม่กน)


-: หัวลำโพงสะเตชั่น :-

หัวลำโพงสะเตชั่น

“ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง”

๖ โมงเย็นวันศุกร์ หลังจากเลิกงานภายในออฟฟิตหรูย่านสีลม ผมเดินลงจากตึกด้วยบันไดจากชั้นที่ ๑๖ ผมเลี่ยงที่จะใช้งานลิฟต์ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ เพราะผมอดที่จะแอบยิ้มใส่ใครๆ ไม่ได้ และก็อดที่จะแอบเห็นใครๆ หลายคน อมยิ้มอย่างผมในวันนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ และนั่นก็หมายถึงผมจะได้อยู่กับวันหยุดสบายๆ ของโลกใบนี้ได้ตั้ง ๒ วันหลังจากวันนี้ และผมจะได้เริ่มทำอะไรๆ ตามที่ผมตั้งใจไว้ต่อจากศุกร์ที่แล้วได้อีกครั้ง ผมมีความศุกร์กับชีวิตของผมจริงๆ ศุกร์จริงๆ...

เย็นวันศุกร์แบบนี้ใครหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ในชีวิตวุ่นวาย ทำงานอยู่ภายในตึกใหญ่ๆ สูงๆ หรืออาจจะไม่ใหญ่ ไม่สูง แต่ก็เป็นที่ทำงานที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อย่างน้อยอาทิตย์ละ ๕ วัน หลายคนก็คงรู้สึกเบื่อๆ คนอีกจำนวนหนึ่งอาจรู้สึกคุ้นเคยกับวันธรรมดาแบบนี้ แต่สำหรับผม ผมเห็นการเริ่มต้นในชีวิตของผมเอง ชีวิตที่ผมเลือกเองได้หลังจากต้องเบียดตัวนั่งอยู่โต๊ะทำงานขนาด ๑.๕ คูณ ๑ เมตร ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันนี้ผมนั่งรถเลยบ้านมาถึงสถานที่ที่ผมยกย่องด้วยตัวเองว่า เป็นอนุสาวรีย์แห่งการเดินทาง ที่หัวลำโพงสะเตชั่น ของผมนี่เอง ผมว่าใครหลายๆ คนก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมมากนัก ว่าที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทาง หรือเป็นจุดจบสิ้นของความรู้สึกสนุกสนานที่อบอวลอยู่ในหัวใจของการสิ้นสุดการเดินทางในครั้งนั้นๆ หัวลำโพงสะเตชั่นของพวกเราทุกคนบรรจุความรู้สึกแบบนี้ไว้ทั้งหมด และบรรจุไว้แบบเต็มๆ ถ้าใครอยากได้รับความรู้สึกนี้ ไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตผู้ดูแลหัวลำโพงสะเตชั่นเข้าไปเก็บเอาชิ้นส่วนของความรู้สึกที่บริเวณใต้ฐานของอนุสาวรีย์ ความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกสลักไว้รอบๆ ผนัง ให้คนเข้าไปอ่านชื่อผู้ที่เคยท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อย่างอนุสาวรีย์ ๑๔ ตุลาคม ไม่ต้องมีพาน ๒ ใบวางซ้อนกันสำหรับใส่แผนที่วางไว้ที่ยอดอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ต้องมีคนสะพายกระเป๋า และถือกล้องยืนอยู่รอบๆ สิ่งก่อสร้างยอดแหลมสูงอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะนั่งรถเลยไปที่ไหน หรือตั้งใจที่จะเดินทางไปยังต่างจังหวัด แต่พอดีวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ วันศุกร์ที่ผมตั้งใจมาตลอดว่าสักวันผมจะต้องมาหยุดอยู่ที่นี่ หยุดเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผมต้องการจะไป แม้วันนี้ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมามากมายนัก แต่หัวใจของผมก็พามาที่นี่จนได้

ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง ซึ่งผมก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าโลกในระบบทุนนิยมขั้นรุนแรงอย่างปัจจุบันนี้ ผมก็แทบจะถอนตัวไม่ขึ้นกับการที่ต้องบูชาปัจจัยที่ ๕ หรือเงินของพวกเขาเหล่านั้น
ผมพาตัวเอง มานั่งอยู่ภายในบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น เพลงจากเครื่องเล่นที่เสียบอยู่ที่หู ผสมกับภาพของการเตรียมตัวเดินทาง การเตรียมตัวกลับบ้าน การพบ การจาก ช่วยเร่งความรู้สึกที่อยากจะปลดปล่อยไอ้ก้อนหนักๆ ที่อยู่ที่หัว ที่ผมสะสมมาตลอดการเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน และตลอดการทำงานของผมทั้งสัปดาห์ ให้หลุดลอยออกไปจากตัวของผมเสียที

ผมตัดสินใจเดินไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ ตั้งใจจะนั่งรถไฟเล่น ไปยังที่ไหนก็ได้บนประเทศผืนนี้ ไกลจากความเจริญที่หน่วงความรู้สึกอิสระ ไปจากความร่ำรวยที่กดทับความมีน้ำใจ ไปจากการทำงานภายในที่ทำงาน ที่เป็นเส้นตรงตลอดการใช้ชีวิตภายในวันหนึ่งๆ

ผมเคยคิดที่จะเขียนไดอารี่เพื่อบันทึกชีวิตประจำวันของผมไว้อ่านเล่นในยามที่ผมตกงาน หรือสังคมใบนี้อาจจะไม่ต้องการคนอย่างผมแล้ว ไดอารี่ทุกหน้าเหมือนจะถูกคัดลอกกันมา

เริ่มต้นตั้งแต่การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน .....
.....
....
...

เสียงเจ้าหน้าที่เรียกผมให้ตื่นจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ถึงคิวของผมแล้ว เสียงเจ้าหน้าที่กล่าวถามอย่างสุภาพว่าผมต้องการจะซื้อตั๋วเพื่อที่จะเดินทางไปที่ไหน ผมคิดทบทวนในใจครู่ใหญ่ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก เนื่องจากการทำงานที่แสนเหนื่อยล้ามาตลอดสัปดาห์ ใช่ครับ อย่างที่ผมบอกกับทุกคนไปแล้ว ผมมีงานที่ยังคั่งค้างวางกองอยู่เต็มโต๊ะทำงานที่บริษัท รวมไปถึงกองงานที่ผมนำกลับมาทำต่อ ที่บ้าน วันหยุดอาทิตย์นี้ผมคงไม่มีเวลาว่างมากพอเสียแล้ว

ในที่สุดผมก็กล่าวปฏิเสธที่จะซื้อตั๋ว และขอโทษที่ทำให้นักเดินทางผู้ใช้บริการรายอื่นๆ ต้องเสียเวลา ก้าวเดินออกจากบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อตอนเย็นของผมเริ่มจางไป ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมไม่มีเวลาพอที่จะยิ้มมากนัก ยังมีช่วงชีวิตของการทำงานรอผมอยู่ในวันหยุดที่จะถึงนี้

อาทิตย์หน้าผมจะออกเดินทางตามที่ผมตั้งใจอีกครั้ง ถ้าผมจะได้มีวันหยุดจริงๆ และถ้าไม่เหนื่อยจนอยากจะนอนพักอยู่ที่บ้านเสียก่อน ถ้างานของผมไม่มากนัก ถ้ารถไม่ติด ถ้าเงินเหลือ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ถ้า.....
ถ้ามนุษย์มีเงื่อนไขในการใช้ชีวิตน้อยกว่านี้...

หัวลำโพงสะเตชั่น..... ไว้วันศุกร์หน้า เราคงได้เจอกัน.....