30 May 2007

-: Turn on the Little Stu-Fe' Light :-

Turn on the Little Stu-Fe' Light

“ความอร่อยหวานลิ้นของการได้ดูหนังกับเพื่อน และกลุ่มคนที่ชื่นชอบทางด้านงานภาพยนตร์ ดนตรี หรือศิลปะทุกแขนงผสมเคล้ากับบรรยากาศที่หอมละมุน ช่วยขับให้รสชาติในปากดีขึ้นมาได้อย่างผิดหูผิดตาและผิดลิ้น”

หัวค่ำของวันพฤหัสบดีแบบนี้ทำให้ผู้คนในร้านยังบางตา แต่เสียงเพลงและเสียงพูดคุยตอนนี้ก็ช่วยขับไล่ความเงียบเหงาของค่ำคืนกระจัดกระจายออกไปทางประตูพร้อมๆ กับที่เพื่อนอีกกลุ่มก้าวเข้ามาสร้างความครื้นเครงให้บริเวณร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งนี้

โทนร้านสีเขียวอบอุ่นของ Stu-Fe’ ร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ และเป็นกันเองของ Monotone Group ตั้งอยู่ในซอยฟาร์มวัฒนาตรงข้ามกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทย ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย ซึ่งเลยเข้ามาจากถนนใหญ่ไม่ถึง 200 เมตร ตัวร้านดัดแปลงมาจากบ้านเก่าตกแต่งด้วยโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องประดับที่รับกันกับบรรยากาศเงียบสงบ และเปี่ยมด้วยสุนทรียะในความเป็นนักดนตรีของพวกเขา



Stu-Fe’ ย่อมาจาก Studio & Café และในอีกลูกเล่นและความตั้งใจหนึ่ง Stu-Fe’ อาจสะกดว่า Stufe’ ที่แปลว่าบันไดเสียงในภาษาเยอรมัน ซึ่ง Stu-Fe’ นอกจากจะเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แล้วด้านหลังของตัวบ้านยังถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องอัดไว้ให้คนรักดนตรีกลุ่มนี้ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงในเวลาว่างจากการทำงานประจำรวมทั้งการดูแลร้านอาหาร

พ่อครัวคนสำคัญของร้านซึ่งอาจจะไม่เป็นที่รู้จักนักในหมู่ของพ่อครัวด้วยกันเอง แต่รสชาติและชั้นเชิงในการทำอาหารของพ่อครัวที่ชื่อโต้ง P.O.P หรือปัจจุบันรู้จักกันในนามของ โต้ง Save da last piece ก็นับได้ว่าอร่อยและถูกลิ้นนักชิมอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยที่เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ประกอบไปด้วย สปาเก็ตตี้ซอสหมู, แกงกระหรี่ไก่ราดข้าว, ข้าวหน้าไก่ย่าง และส้มตำจานใหญ่ที่เมื่อไรมาถึงร้านนี้แล้วก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สิ่งที่แตกต่างและช่วยทำให้ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งนี้สว่างไสวขึ้นมาท่ามกลางความมืดที่ปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวายของถนนใหญ่ คงจะเป็นความอบอุ่นและเป็นกันเองของบรรดาผู้คนในร้านที่ล้วนแต่เพื่อนฝูงกัน ทั้งนักจัดรายการวิทยุแห่งคลื่น 104.5 Fat Radio สมาชิกจากทั้ง Monotone Group เอง รวมไปถึงเพื่อนๆ ศิลปิน นักร้อง นักดนตรีที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คอยเชื้อเชิญต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม และเสียงเพลงจากกีตาร์โปร่งที่ดังฟุ้งภายในร้าน สลับกับบทเพลงหวานฉ่ำจากเครื่องเสียง



และอาจจะแตกต่างจากทุกวัน... ปลายอาทิตย์อย่างวันพฤหัสบดีของทุกสัปดาห์เช่นในวันนี้ Stu-Fe’ ตั้งใจจะปิดห้องเพื่อให้สมาชิกภายในร้านร่วมกันชมภาพยนตร์คุณภาพที่คัดสรรมาอย่างดีโดยประเดิมครั้งแรกด้วยหนังโทนเหลืองของ Jonathan Dayton และ Valerie Faris สองผู้กำกับคู่หูที่เคยผ่านงาน Music Video มามากมาย และกับภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาอย่าง Little Miss Sunshine เป็นครั้งแรกของทั้งหนังและทั้งร้านที่ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง



เสียงปรบมือยังคงไม่สิ้นสุดเมื่อภาพสุดท้ายบนจอหายวับไป รอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าทุกใบหน้าซึ่งกำลังกล่าวชื่นชมกับภาพยนตร์ที่เพิ่งจบลง ความอร่อยหวานลิ้นของการได้ดูหนังกับเพื่อน และกลุ่มคนที่ชื่นชอบทางด้านงานภาพยนตร์ ดนตรี หรือศิลปะทุกแขนงผสมเคล้ากับบรรยากาศที่หอมละมุน ช่วยขับให้รสชาติในปากดีขึ้นมาได้อย่างผิดหูผิดตาและผิดลิ้น แม้อาหารบนโต๊ะจะหมดไปตั้งนานแล้ว... แสงไฟภายในร้านหรี่ลงเมื่อหลายคนเริ่มทยอยออกจากร้าน บทเพลงของค่ำคืนยังคงบรรเลงแผ่วเบาคล้ายท่วงทำนองที่ทุกคนคุ้นหู “ปิดไฟเถอะนะที่รัก แล้วเราจะไปด้วยกัน สวรรค์ของเรา...”

-: ความฝันในยามตื่นของคนไม่วิกลจริต :-

ความฝันในยามตื่นของคนไม่วิกลจริต

“พัดลมที่ปลายเตียงพัดเอาลมร้อนพุ่งเข้าหาตัวไม่หยุดหย่อน จนทำให้ตัดสินใจลำบากระหว่างการเลือกที่จะปิดมันเสียเพื่อหลีกหนีจากระลอกพัดของลมร้อนกับการนั่งอบอ้าวอยู่ตามลำพัง”

ไม่ว่าโลกของเราจะร้อนขึ้นหรือเย็นลง มนุษย์ส่วนใหญ่ก็อาจจะได้แต่ตื่นตระหนก! สะดุ้ง! สงสัย! กระวนกระวายใจ! แล้วหลังจากขนลุกและทุกข์ร้อนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ครอบครัว เจ้านาย ลูกน้อง การงาน และที่ประชุมก็จูงมือพวกเขาเหล่านั้นกลับไปสู่ชีวิตประจำวันที่หนักหนา ค่าเงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง? เศรษฐกิจที่ถีบตัวสูงหรือตกต่ำ? กำไรหรือขาดทุน? เงินเดือนขึ้นหรือไม่ขึ้น? เลื่อนตำแหน่งหรือไม่เลื่อน? เหล่านั้นต่างหากที่สำคัญกับปากท้องของพวกเขามากกว่าโลกจะร้อนขึ้นหรือเย็นลง...

ค่ำคืนวันที่ 21 เมษายน 2550 ณรวิตรพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาเนื่องจากนอนไม่หลับ หลังจากตกลงปลงใจที่จะไม่เปิดแอร์เพื่อร่วมเฉลิมฉลองไปกับเช้าวันที่ 22 เมษายน 2550 อย่างเต็มภาคภูมิ วันที่ 22 เมษายนของทุกปีที่รู้จักกันในนามของวันคุ้มครองโลก (Earth Day) เป็นวันที่มนุษย์ทุกคนควรจะต้องใคร่ครวญ ระลึกและหาหนทางเยียวยาสภาพแวดล้อม และทรัพยากรที่ธรรมชาติมอบเป็นของขวัญให้แก่เรา ซึ่งในขณะนี้พวกเราหยิบใช้เหมือนไม่มีวันหมด และรุมทำร้ายเหมือนไม่มีวันแตกสลาย โดยเฉพาะณรวิตรที่ชอบการอ่านหนังสือที่พิมพ์จากกระดาษเป็นชีวิตจิตใจ เขาจึงมีส่วนร่วมโดยตรงกับวันคุ้มครองโลก ประเด็นต่างๆ นี้วิ่งวนอยู่ในความคิดของเขาตลอดทั้งคืนแต่กลับไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เขานอนไม่ค่อยหลับในค่ำคืนนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาร้อนเพราะไม่ได้เปิดแอร์!
ช่วงเช้าใกล้จะเข้ามาถึงเต็มที ยิ่งกดดันให้ณรวิตรกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าจะไปเอาเรี่ยวแรงและความสดชื่นมาจากไหนในการที่ต้องลุยงานหนักในวันรุ่งขึ้นหากยังไม่สามารถข่มตาลงนอนได้ในค่ำคืนนี้ พัดลมที่ปลายเตียงพัดเอาลมร้อนพุ่งเข้าหาตัวไม่หยุดหย่อน จนทำให้ตัดสินใจลำบากระหว่างการเลือกที่จะปิดมันเสียเพื่อหลีกหนีจากระลอกพัดของลมร้อนกับการนั่งอบอ้าวอยู่ตามลำพัง ก็เพราะความละโมบในทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมนี้มิใช่หรือที่ส่งผลร้ายทั้งทางตรงเช่นอากาศปรวนแปรและภาวะโลกร้อน และทางอ้อมอย่างการล้นเกิน และขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติจนนำมาซึ่งหลายๆ สงคราม ณรวิตรรำลึกไปถึงบทกลอน “HOIST THE SAILS!” จาก “John McConnell” นักเคลื่อนไหวด้านสันติภาพ

“Four billion years ago
Our lonely Earth
Set sail on cosmic seas
Guided by an unseen hand
Of nature, God or chance.

As life evolved
Through endles eco-cycles
Man was born, destined
To destroy or enrich
the Precious Ship.

And now his hand
Has seized the tiller
But his ear has not
Yet caught the Captain's
Quiet command.

The sails are down, the ship becalmed,
Its fragil life at stake.
No longer do we ride the gentle swells of
Silent seas and breathe
The fragrant air.

Broken are the rhythms
Of our cyclic plants
And other living things.

But now the Captain speaks again
Our quiet thoughts at last reveal his voice.

"Hoist the sails, Earth Man.
Set them for celestial winds.
Hold the tiler firm,
The course ahead is clear."

Be He nature, God or chance
His voice is heard
And we shall heed
The Captain's quiet command.”


หากโลกของเรามีชีวิต... ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอย่างไรอยู่?

ค่ำคืนเคลื่อนคล้อยไปอย่างไม่หยุดหย่อนชายหนุ่มหยิบหนังสือ “ความฝันของคนวิกลจริต (The Dream of a Ridiculous Man)” จากชั้นหนังสือขึ้นมาอ่าน อีกมือที่กำลังว่างหมุนปรับความดังของวิทยุ เพลงเบาสบายจากอัลบั้ม “Brushfire Fairytales” ของหนุ่มเนื้อหอม “แจ็ค จอห์นสัน (Jack Johnson)” ดังคลอสม่ำเสมอไปกับจังหวะการมาถึงของตัวหนังสือ
ความฝันของคนวิกลจริตเป็นเรื่องสั้นลำดับสุดท้ายในชีวิตของ “ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี (Fyodor Mikhalovish Dostoevsky)” นักเขียน-นักคิดผู้ยิ่งใหญ่จากประเทศรัสเซียที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ดอสโตเยฟสกีให้อะไรผมยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์คนไหนๆ” เรื่องสั้นที่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยจินตนาการกล่าวถึงโลกในอุดมคติในความฝันของชายที่วางปืนอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา และผลอยหลับไปในขณะที่กำลังรอคอยให้ความคิดในหัวหยุดลงเพื่อจะได้สังหารชีวิตของตัวเองสักที โลกในอุดมคตินี้ผู้คนสดใสและเบิกบาน รักใคร่และหวังดีต่อสิ่งมีชีวิตรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ และดวงดาว(ที่ดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกันในสายตาของพวกเขา) โลกที่แม้ใครได้อ่านก็คงนึกอิจฉาและอยากให้ปรากฎโลกแบบนั้นในโลกของเราบ้าง ยิ่งในสมัยนี้ที่ปัจจุบันกาลดูวิ่งไปข้างหน้ารวดเร็วจนนึกกลัวว่าจะแซงอนาคตในบางวัน...
“Slow down, every one. You’re moving too fast.” – “ช้าลงหน่อยทุกๆ คน พวกคุณช่างเคลื่อนไหวเร็วเสียจริง” - ข้อความจากเพลง “Inaudible Melodies” ดังขึ้นช่วยทำให้ค่ำคืนนี้เย็นขึ้น และช้าลงได้บ้าง

“คลื่นจากท้องทะเลสีเขียวมรกตโยนตัวเข้าหาฝั่งอย่างสงบนุ่มนวลราวกับสัมผัสลูบไล้จากมืออันละมุนละไมของคนรัก”
“มวลหมู่นกก็พากันกระพือปีกอยู่เกรียวกราวโดยปราศจากความหวาดกลัวต่ออาคันตุกะแปลกหน้า... พวกมันโผบินลงมาเกาะตามมือและไหล่ของผม แล้วใช้ปีกนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของมันหยอกเอินผมอย่างอ่อนหวานน่ารัก”
(หน้า 49 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 สำนวนแปล มนตรี ภู่มี สำนักพิมพ์สามัญชน)

ตัวหนังสือที่จดจารโลกในอุดมคติแห่งนี้ อาจไม่ได้อยู่ในลำดับที่เท่าไรเลยของ “1001 Books You Must Read Before You Die” ของ Dr. Peter Boxall ที่ณรวิตรกำลังไล่ตามอ่านให้ครบด้วยความสนุกและแอบชื่นชมว่าเป็นการชุมนุมของชื่อเล่มทั้ง 1,001 เล่มที่น่าสนใจทีเดียว เขาพยายามตามอ่านหนังสือทั้ง 1,001 เล่มไม่ได้เพียงเพราะเก็บสถิติหรือเพื่ออวดโอ้ใครต่อใคร และไม่ได้คิดว่าจะมีแค่ 1,001 นี้ที่น่าติดตาม แต่ในทางกลับกันทั้ง 1,001 เล่มนี้ก็ไม่สมควรพลาดด้วยประการทั้งปวงอยู่ดี ระหว่างทางที่ตัวเอกในเรื่องกำลังเดินทางกลับบ้าน โดยหวังจะกลับไปทำลายชีวิตของตัวเองลงที่ห้องพักเก่าและคับแคบกลับได้พบการขัดจังหวะของเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ ที่สะอึกสะอื้นเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเขา การขัดจังหวะที่กระทบกระเทือนความมุ่งหมายแรกจนส่งผลลัพธ์ในตอนท้ายของเรื่อง ช่างเป็นการขัดจังหวะที่เต็มไปด้วยพลัง ไม่ต่างกันกลับการขัดจังหวะของณรวิตรโดย “ความฝันของคนวิกลจริต” จึงไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียเวลาแม้แต่น้อยในการตามอ่านทั้ง 1,001 เล่มนั้นเช่นเดียวกัน ทั้งคราวนี้ยังเป็นการขัดที่ทำให้จังหวะเงางามขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ

เสียงไก่ขันลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงเพลงหยุดเล่นไปนานแล้วไม่รู้ว่าประมาณช่วงไหนของคืน พัดลมปลายเตียงยังคงบริการลมที่ร้อนระอุแก่เขาอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาขยับตัวครั้งสุดท้ายรับดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาทักทายโลกมนุษย์จริงๆ แม้จะไม่ใช่แห่งที่เดียวกันกับโลกในหนังสือที่ถูกคั่นอยู่ที่หน้า 79 ในมือของณรวิตรในขณะนี้
ไม่รู้ชายหนุ่มหลับไปหรือยัง?

-: ความเหงาในความเขลา :-

ความเหงาในความเขลา

“แล้วเมื่อคราวมีปัญหาที่แก้ไขเพียงคนเดียวไม่ได้ คนที่อยากจะคว้าตัวเอามาซุกกอดในอ้อมแขนอันอบอุ่นที่สุดแล้วก็กลับอยู่ห่างไกลเสียจนไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของกันและกัน ”

ณรวิตรลืมตาขึ้น ยามแสงแรกแห่งโลกของการตื่นกำลังผลิดอกออกแสงอบอุ่นเข้าแยงตาและชโลมผิว ทีแรกความสลึมสลือยังคงปรากฎอยู่เต็มตาจนทำให้ทุกอย่างรอบกายคลุมเครือ จนท้ายที่สุดเมื่อหนุ่มณรวิตรสามารถประคองสติสัมปะชัญญะกลับคืนมาได้เขาก็พบว่าภายใต้ความสว่างรอบกายที่เขาคุ้นเคยในทุกเช้า กลับไม่ใช่บ้านที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นอนที่กระด้างและระคายสัมผัส หมอนหนุนที่สูงค้ำคอจนเมื่อยล้ามาถึงกลางหลังซึ่งความจริงเป็นเพียงเก้าอี้แถวยาวสำหรับการนั่งรอของผู้คน และหนังสือเล่มหนาที่หนุนหัวเขาอยู่ต่างหาก ณรวิตรหันมองซ้ายทีขวาทีแล้วพบกับภาพผู้คนแปลกหน้าหญิง ชาย หนุ่ม สาว เด็ก แก่ที่กำลังดำเนินชีวิตหลากหลายตามปรกติของพวกเขาและพวกเธอเหล่านั้นยิ่งเร้าให้ความสงสัยของณรวิตรพลุ้งพล่านขึ้นเป็นทวีคูณ

“นี่มันไม่ใช่บ้าน!” คล้ายกับรำพึงรำพันกับตัวเอง แต่เสียงพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากของเขาน่าจะดังเกินปรกติ ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนไม่สามารถควบคุมการเปล่งเสียงของตนเองได้ในสถานที่แปลกหน้าแห่งนี้ แต่แล้วมันก็แผ่วเบาฟุ้งหายไปกับสายลม ไม่มีแม้ใครสักคนตอบสนองต่อเสียงนั้น

ไม่กี่นาทีที่ความเงียบสงบส่งเสียงดังจนน่ารำคาญณรวิตรพบว่าสถานที่ที่เขาอยู่น่าจะห่างไกลจากประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนอยู่หลายช่วงผืนน้ำ ชายหนุ่มขยับตัวแล้วดันร่างกายขึ้นสู่ท่านั่งหลังเหยียดตรงกว่าเดิม มือขวาของเขาสัมผัสกับฝ่ามือเล็กเรียวที่หยาบแห้งเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความอ่อนโยนของผิวสตรีต่างชาติที่ค่อนข้างมีอายุ “เธอต้องเคยสวยแน่ๆ เมื่อครั้งยังเป็นสาวสะพรั่ง” ณรวิตรอดคิดไม่ได้ แม้ในขณะนี้มิน่าใช่กาลเทศะที่จะมาชื่นชมความงามของสตรีเท่าใดนัก

“ขอโทษครับ...” ณรวิตรเริ่มต้นบทสนทนากับสตรีมีอายุแปลกหน้า และแปลกถิ่น ตั้งใจว่าหลังจากกล่าวคำขอโทษแล้วจะต้องถามให้คลายความสงสัยเสียทีว่าตนกำลังเอาหลังพิงอยู่กับสถานที่ใดและเขตดินแดนของประเทศใดกันแน่ แต่เปล่าเลยหญิงกลางคนยังคงนั่งเฉยเหมือนไม่ได้รับสัมผัสจากณรวิตรทั้งๆ ที่ก็ทอดสายตามาทางเขา ชายหนุ่มขนลุกและตกลงสู่ห้วงแห่งความวิตกอาจจะตั้งแต่ที่เขาหลุดอุทานเสียงดังออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ และปราศจากการตอบสนองต่อผู้ใด “เธออาจจะหูหนวกก็ได้!” เขาคิดและทดลองเอื้อมมือไปสะกิดที่หลังมือของเธออีกครั้ง คราวนี้เธอหันมามองทางเขาด้วยสายตาเป็นประกาย...

หากสังเกตดีๆ แล้วณรวิตรกำลังอยู่ในอาคารสนามบิน ที่ผู้คนเกือบจะทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นฝรั่งผิวขาว มันอาจจะเป็นสนามบินแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศไทย หรือไม่ก็ในโลก ข้อความที่ปรากฏอยู่ตามป้ายต่างๆ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษแล้วยังมีตัวอักษรของภาษาอะไรอีกสักอย่างที่คลับคล้ายคลับคลากำกับอยู่ทั้งๆ ที่เป็นภาษาที่แปลกตาแต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้าใจได้อย่างน่าประหลาด

เธออมยิ้มและพยายามเรียกร้องความสนใจจากใคร? เขาหรือ? ชายหนุ่มคิดเมื่อเห็นหญิงสาวทำทีส่งสายตามาให้ เขาขยับทำท่าจะส่งรอยยิ้มตอบด้วยความแปลกใจแต่ก็ต้องชะงัก และหันไปมองข้างหลังเมื่อพบว่าสายตาของเธอข้ามหัวไหล่เขาไปอย่างกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุแล้วปะทะลูบไล้กับใบหน้าของชายวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานบนม้านั่งฝั่งตรงข้าม ชั่วอึดใจที่ชายวัยกลางคนส่งรอยยิ้มตอบกลับมาและผงกศีรษะเล็กน้อย เธอลุกขึ้นเดินเฉียดร่างณรวิตรไปหาชายคนนั้น ใกล้จนเกือบชน

“เราเคยรู้จักกันในกรุงปรากไม่ใช่หรือคะ” เธอพูดขึ้นด้วยภาษาเชคกับชายวัยกลางคน น่าแปลกทีเดียวที่ณรวิตรสามารถเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องแปล “กรุงปรากหรือ?” ชายหนุ่มกระสับกระส่าย เขาเพียงนอนหลับไปบนที่นอนของตัวเองในบ้านแถวๆ วงเวียนใหญ่ และตื่นขึ้นมาที่นี่! ที่ที่คนสองคนคุยกันด้วยภาษาเชคและเขาก็เข้าใจเสียด้วย!
“ยังจำดิฉันได้หรือเปล่า?”
“จำได้สิ”
“ฉันจำคุณได้ทันที คุณไม่เปลี่ยนเลย”
“โอ้โฮ นั่นคงเกินความจริงไปหน่อย”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่เลย คุณยังดูเหมือนเดิม คุณพระช่วย มันนานมากเหลือเกิน” เธอพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันซาบซึ้งจริงๆ ที่คุณยังอุตส่าห์จำฉันได้!” แล้วเธอก็กล่าวถามต่อ “คุณอยู่ที่โน้นตลอดเลยหรือคะ?”
“เปล่า” ชายคนนั้นตอบ
“คุณลี้ภัย?”
“ใช่”
“แล้วคุณไปอยู่ที่ไหน? ในฝรั่งเศสหรือคะ?”
“เปล่า บังเอิญที่ผมมาต่อเครื่องที่ปารีส ผมอยู่ในเดนมาร์ก แล้วคุณล่ะ?”
“อยู่ที่นี่ค่ะ ในปารีส...”
“ปารีส!” ณรวิตรเผลออุทานอีกครั้ง โดยคราวนี้เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าจะดังเกินไปหรือไม่ในเมื่อก็ไม่ได้มีใครเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว หรือนี่แค่เพียงความฝัน? หรือความตาย? บางทีสองสิ่งนี้อาจจะแยกออกจากกันได้ไม่เด็ดขาดนักว่าในขณะที่เกิดภาพที่ไม่คุ้นตาขึ้นเขาจะกำลังอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน? หรือโลกใหม่แห่งความตาย?

หญิงมีอายุที่อยู่ตรงหน้าของเขาพูดคุยกับชายคนนั้นอีกชั่วครู่ก่อนจะพากันเดินขึ้นเครื่องบินไปยังปราก ตามที่เขาและเธอพูดคุยและนัดหมายกัน การโหยหาแผ่นดินเกิดหลังจากต้องลี้ภัยไปอยู่ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านที่อบอุ่น ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเธอและเขาอาจจะเคยสะดุ้งตื่นกลางดึกของค่ำคืน หรือในเช้าธรรมดาอย่างมีความสุข แต่หลังจากบิดขี้เกียจจนโลกแห่งความจริงเลิกเหลื่อมล้ำกับโลกแห่งความฝันแล้วกลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่ใช่อะไรที่คุ้นเคย ถนนหน้าบ้านไม่ใช่ถนนเส้นเดิมที่เคยเดินแม้จะคล้ายคลึง
โทรทัศน์ที่เปิดกรอกหูกลับเป็นใบหน้าและถ้อยคำของชาวต่างชาติ อาหารการกินนะหรือ? ที่เคยเอร็ดอร่อยกับรสชาติที่คุ้นลิ้น และสนุกกับการบริโภคกลับแปลกรสจนอยากอาเจียน แล้วเมื่อคราวมีปัญหาที่แก้ไขเพียงคนเดียวไม่ได้ คนที่อยากจะคว้าตัวเอามาซุกกอดในอ้อมแขนอันอบอุ่นที่สุดแล้วก็กลับอยู่ห่างไกลเสียจนไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของกันและกัน ยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องจากบ้านไปไกลแสนไกลด้วยป้ายแขวนคอว่าผู้ลี้ภัยทางการเมือง และความขัดแย้งในประเทศตนเองอย่างคนคู่นี้ที่แค่แอบคิดว่าจะได้กลับไปสูดเอาอากาศของบ้านเกิดให้ชุ่มปอดก็คงยาก ความโหดร้ายของการคิดถึงใครสักคนโดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันอีกคงช่างทรมาณลึกลงไปในหัวใจ เหงา สงสัย และแปลกแยก... เช่นเดียวกับณรวิตรรู้สึกในขณะนี้ในขณะนี้

ฉากการกลับไปเยือนบ้านเกิดของสองผู้ลี้ภัยชาวเชคที่ได้พบปะพูดคุยกันบนผืนดินในสวนหลังบ้านของคนอื่นอย่างกรุงปารีส หลังเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์และผู้ต่อต้านเมื่อมีการเข้ามารุกรานของสหภาพโซเวียต จนถึงคราวล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์หลังสิ้นสุดสงครามเย็นระหว่างสองขั้วมหาอำนาจคือพี่ใหญ่อเมริกา และพี่ใหญ่สหภาพโซเวียต (ที่สุดท้ายก็ต้องล่มสลายแพ้พ่ายให้กับพี่ใหญ่บ้าสงครามตลอดกาล) นี้คุ้นตาณรวิตรมากขึ้นทุกทีๆ หลังจากคุมสติได้แล้วว่าในขณะนี้ตนได้พลัดพลากจากเตียงนอนนุ่มอันเป็นที่รักมาห่างไกลอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อาจมีใครวางยาสลบแล้วนำเขามาทิ้งไว้ที่อาคารสนามบินแห่งนี้? หรือเขาอาจหัวใจวายตายแล้ววิญญาณล่องลอยมาเพราะก่อนตายกินขนมปังครัวซองอยู่? อาจมีมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวเขาไปทดลองแล้วนำมาปล่อยคืนผิดตำแหน่ง? (อาจสลับกับมิลาน คุนเดอร่า (Milan Kundera) ผู้เขียนนิยายชาวเชคที่ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ฝรั่งเศส หนึ่งในหลายผลงานชื่อก้องโลกที่ผ่านมุมมองจากประสบการณ์จริง และมันสมองจริงๆ (ไม่ใช่เล่น!) ของเขาอย่าง “ความเขลา (IGNORANCE)” ที่ตั้งคำถามต่อการโหยหาแผ่นดินถิ่นเกิดของผู้ลี้ภัยที่จากบ้านมานานอย่างน่าสนใจ (และอาจเพราะด้วยประสบการณ์ตรงของตาลุงมิลานเอง) ชายหนุ่มจำได้ว่าหนังสือเล่มนี้ติดอยู่ 1,001 เล่มที่ควรอ่านก่อนตายของ Dr. Peter Boxall และก็ไม่น่าผิดหวังที่ได้มีโอกาสอ่านก่อนตายถ้าตอนนี้ชายหนุ่มยังหายใจอยู่โดยไม่หลอกตัวเอง) หรือท้ายที่สุดเขาอาจจะเดินทางมาเองจริงๆ แล้วแค่ตื่นครึ่งฝันครึ่งขณะรอขึ้นเครื่องกลับบ้าน? ไม่น่าแปลกถ้าตัวเอกของนิยายเรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงเป็นใครก็ได้ ที่ก็ไม่น่าจะแตกต่างหากต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับอีเรน่า และโจเซฟสองตัวละครสำคัญในนิยายของคุนเดอร่าที่ขับเคลื่อนให้เกิดเรื่องราวอันน่าสนใจ และน่าตะลึงเพริศแพร้วอันเป็นภาพซ้อนกับหญิงและชายวัยกลางคนที่ชายหนุ่มได้พบเห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้

นับตั้งแต่ที่อีเรน่าบังเอิญพบกับคนที่เธอเคยประทับใจอย่างโจเซฟเมื่อสมัยยังอยู่ที่ปราก เป็นการพบกันในวันแรกที่เธอกำลังจะกลับไปเหยียบแผ่นดินเกิดหลังจากที่สามีเสียชีวิตและเธอไม่ต้องการจะกลับไปแตะเท้าที่ปรากอีก นี่อาจเป็นการคาบเกี่ยวระหว่างความรู้สึกของตัวเธอเองที่ดีใจระคนสับสนกับตำแหน่งที่เธอยืน จนทำให้การหวนคืนสู่มาตุภูมิที่ทรมาณความรู้สึกครั้งนี้ (เธอจะกลับไปเพื่อพูดจากับใครในเมื่อจากมาหลายปีแล้ว กลับไปเท้าสะเอวมองเมืองที่เธอคุ้นหน้าแต่ไม่ผูกพัน แต่ในใจลึกๆ มันก็เป็นเมืองที่เธอเกิด และเคยอุ่นใจที่ได้อาศัยอยู่!) ลดความทรมาณลง
“คุณลี้ภัย?” อีเรน่ากล่าวถาม
“ใช่!” โจเซฟตีสีหน้า ปลายคิ้วลดต่ำพร้อมๆ กับไหล่ทั้งสองข้างที่ห่อตัวลง และรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ประดับบนใบหน้า

ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรกับการล้มลงของทักษิณ ชินวัตรหลังการทำรัฐประหารจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจนในขณะนี้ที่มีวูบความคิดพัดเข้ามาในหัวการต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไม่ว่าเขาจะกระทำกิริยาเยี่ยงอาชญากรสงครามภาคใต้ ยาเสพติด และระบบทุนนิยมอย่างที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ต้องร่อนเร่เตร็ดเตร่ไปตามประเทศต่างๆ โดยไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนก็ไม่สามารถซื้อประเทศไทย และความเป็นไทยทั้งผืนใช้เรือลากไปตั้งเคียงกับเกาะบริติท เวอร์จิ้นเพื่อเอาเท่ได้ “ต่อให้คนเลวที่สุดในสายตาของคนทั้งโลกก็คิดถึงบ้านเป็น”
“คุณลี้ภัย?” นักข่าวกล่าวถาม
“คงใช่!” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยตีสีหน้า ปลายคิ้วลดต่ำพร้อมๆ กับไหล่ทั้งสองข้างที่ห่อตัวลง และรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ประดับบนใบหน้า

ณรวิตรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยถึงเที่ยวบินที่มีปลายทางอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิจากเสียงประกาศตามสาย เขาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายใบใหญ่ และหนังสือเล่มที่ใช้ต่างหมอนลุกออกจากที่นั่งแถวยาวเพื่อออกเดินทาง ฝรั่งเศสถึงจะสวยงามอยู่บ้างแต่ก็มีกลิ่นไม่คุ้นอย่างไทยแลนด์ คิดถึงคำว่าสวัสดี คิดถึงอาหารที่มีให้กินตลอด 24 ชั่วโมง คิดถึงร้านกาแฟที่เขาฝากชีวิตนั่งดื่มด่ำคาปูชิโน่เย็นทุกเย็น หรือร้อนในบางเย็น คิดถึงงานแสดงภาพเหมือนในนิทรรศการศิลปะ “Look at me” ของศิลปินฝรั่งเศส “Patricia Tardy” ที่นัดกับเพื่อนและคนรักว่าจะไปดูด้วยกันที่โรทันด้า แกลเลอรี่ ห้องสมุดเนลสันเฮย์ที่ถนนสุรวงศ์ คิดถึงการแสดงดนตรี “Melody of life” นักดนตรีชาวไทย และสุดยอดวงดนตรีขี้เล่นสัญชาติฝรั่งเศสที่มีการผสมผสานเสียงเครื่องดนตรีกับเสียงสังเคราะห์ในท่วงทำนองรื่นหูที่ณรวิตรชื่นชอบอย่าง “Tahiti 80” ที่เซลทรัลเวิลด์ช่วงเดือนร้อนๆ อย่างเมษายน (เมษายน 2550) “อะไรๆ ก็ฝรั่งเศส!” เขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ กลับถึงบ้านคราวนี้เขาว่าจะหยิบหนังสือเล่มนี้กลับมาอ่านอีกสักรอบและจะลองให้คนรักยืมไปอ่านด้วย
“คุณลี้ภัย?” เจ้าหน้าที่กล่าวถาม
ณรวิชอมยิ้ม ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอดไรฟัน กดสายตาตัวเองลงปิดสนิทแล้ววิ่งผ่านประตูสุดท้ายของสนามบิน Paris De Gaulle.....