18 May 2012

-: ไม่ใช่เรื่องแปลก :-

18/05/2555

เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก...

มีอะไรหลายอย่างที่รบกวนจิตใจของผมมาโดยตลอดการใช้ชีวิต คนเรามีอะไรบ้างที่เป็นนิสัยส่วนตัว อะไรบ้างไหมในตัวเขาที่คนในสังคมหรือคนรอบข้างไม่ยอมรับ มีใครบ้างไหมที่จะมาทำให้นิสัยส่วนตัวที่เขาอาจไม่ได้ชอบแต่ก็เป็นตัวเขาหายไป หรืออาจไม่หายแต่สามารถมองข้ามประเด็นกวนใจเหล่านั้นไปได้

มันไม่ได้ยากที่ใครบางคนนั้นจะเข้ามาทำให้เราได้รับความรู้สึกสบายใจลงตัว แต่ผมคิดว่ามันยากที่เราจะสามารถทำให้เขารู้สึกอย่างเดียวกันนี้กลับไปด้วยเช่นเดียวกัน... ความรักและความสัมพันธ์มันจึงเริ่มต้นขึ้น และมีปัญหากันอยู่ต่อไปในหลายๆ คู่ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ เชื่อสิว่าในอนาคตเทคโนโลยีก็ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ดีขึ้นไปกว่ายุคหินเท่าไรนัก

เช่นนิสัยส่วนตัวสำคัญอันหนึ่งที่คล้ายกับตัวผม ซึ่งผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมชอบมันรึเปล่า? และมันมีปัญหาในการใช้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน? เพียงแต่หลายครั้งที่ผมอยากจะนั่งพักอยู่ลำพัง หรืออยู่กับคนรัก แค่นั้นห้ามมากไปกว่านี้ และเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล ในหูมีดนตรี ในมือมีปากกาและสมุดเล่มหนึ่งไว้คอยขีดเขียนและวาดเส้นเล่นโดยที่ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร นั่นคือสิ่งที่นักจิตวิทยาผู้หนึ่งบอกกับผมว่า คนในลักษณะนี้เป็นคนที่ในส่วนลึกแล้วเพิกเฉยและรำคาญสังคม (นักจิตวิทยาผู้นั้นกล่าวว่าต่อต้านสังคม แต่ผมว่ามันดูรุนแรงไปกับจุดประสงค์ของคนอย่างผมและเพื่อนๆ อีกหลายคนที่เป็นแบบนี้)

นั่นคือเราไม่ชอบและไม่เห็นจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปร่วมวาทกรรมหรือกายกรรมตามธรรมเนียมที่ทุกคนดำเนินอยู่ เช่นผมเป็นคนรักประเทศไทยมาก อยากคิดและสร้างการพลิกเปลี่ยนสังคมให้เป็นไปได้ด้วยดีในบางประเด็นก็หลายครั้ง แต่ก็มองไม่เห็นว่าการเข้าแถวหน้าเสาธงจะมีผลอะไรกับลูกลิงลูกค่างที่ไม่ได้สำนึกในความเป็นชาติจากการยืนเหงื่อไหลหยอกเล่นกันอยู่ไม่กี่นาที หรือเช่นการที่ผมไม่เชื่อว่าระบบการศึกษาไทยที่เป็นอยู่จะสร้างบุคลากรคุณภาพต่อสังคม (เน้นว่าต่อสังคม) ให้เห็นได้มากเท่าไรนัก เพื่อนฝูงแวดล้อมของผมที่จบปริญญาดีๆ สุดท้ายตายไปกับทิฐิบางประการก็เยอะ เพื่อนที่ร่ำเรียนมาน้อยกลับเป็นพระที่ดี เป็นคนที่เข้าร่วมกิจกรรมช่วยสังคม หรือร่ำรวยเป็นเศรษฐีใจบุญก็มาก หรือการที่ทุกคนต้องไปยืนอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรูเลิศกลางเมือง แต่งตัวสวยงามตามระบบสังคมและตีตราคนใส่รองเท้าแตะผ้าเก่าขาด กางเกงม่อฮ่อม เสื้อขาวซีดย้วยที่ไปเดินอยู่กลางพารากอนว่าเป็นคนไร้สกุลอันน่าสมเพศ (ผมเคยแต่งตัวแบบนี้ไปที่พารากอนเพื่อการทดลองและถูกมองเช่นนี้จริงๆ)

ผมสรุปไปเพียงว่าการที่เราเพิกเฉยต่อสังคม (ทั้งๆ ที่บางครั้งก็จำเป็นต้องเข้าร่วม) เพียงเพื่อไม่ได้เห็นความจำเป็นและชื่นชมว่าการใช้ไม้บรรทัดแบบนั้นแบบนี้ที่เขาวัดกันไปกันมา มันจะเที่ยงธรรมและสร้างผลดีต่อโลก ผลก็คือกฏแห่งสังคมที่ใช้พิพากษากันจริงๆ อย่างกฏหมายกลับกลายแป็นเรื่องที่น่าขันสำหรับบางคนไปได้ คนเรามักพิพากษาคนอื่นอย่างรวดเร็วด้วยไม้บรรทัดที่สังคมสร้างขึ้น ใครพวกมากชนะศึก ใครพวกมีอำนาจฉลาดสุด และกลับกลายเป็นการสร้างสังคมช่างติของนักวิจารณ์แบบพวกมากลากไปก่อฟืนสุมไฟเผาแม่มดแบบที่เห็นกันอยู่ตามสังคมเสมือน (เดี๋ยวนี้คนเราขี้เกียจและรักการมีภาพลักษณ์กันขึ้นเยอะ) ผ่านช่องทาง Social Network ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

หลายครั้งจึงไม่แปลกที่ผมปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมดลงเสียดื้อๆ แม้จะดูไร้เหตุผลสำหรับบางคน หรือการที่ผมอยากจะนั่งพักอยู่ลำพัง หรืออยู่กับคนรัก แค่นั้นห้ามมากไปกว่านี้ และเหม่อลอยออกไปไกลแสนไกล ในหูมีดนตรี ในมือมีปากกาและสมุดเล่มหนึ่งไว้คอยขีดเขียนและวาดเส้นเล่นโดยที่ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร

จริงๆแล้วผมและพวกเราอีกหลายคนแค่เบื่อการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากบางจำพวก ซึ่งมากเสียจนเดินชนไหล่กันได้นับไม่ถ้วน ความเห็นแก่ตัวที่ทุกวันนับเพิ่มทวีคูณขึ้น และกลับเชื่อเสียด้วยว่าเราอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงสังคมอันน่ากลัวนั้น

เพียงแต่เราไม่ขอพิพากษาใคร ไม่วัดมาตรฐาน หรือวิจารณ์ใคร แค่ในขณะที่ผมไม่อยากยุ่งกับสังคมเหล่านั้นเมื่อไร ขอผมมีพื้นที่ว่างเล็กๆ ไว้ให้นั่งทอดสายตาถอนใจ โลกส่วนตัวของผมที่ผมจะสามารถสบายใจและอยู่เงียบๆ ได้โดยไม่มีใครมาเหล่ตามองและตำหนิติโทษ โดยเฉพาะถ้ามีคนรักที่พร้อมจะเข้าใจในบางสภาวะนั้นให้ผมนั่งพิง และอ่านหนังสือ ฟังเพลง ขีดเขียนกันไปข้างๆ กันอย่างนั้น พอเบื่อตรงนั้นก็กระโดดไปเดินในพื้นที่สาธารณะกันใหม่ด้วยกัน

ผมว่าใครหลายๆ คน (ผมเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่รู้จักตัวเองดีพอ) ที่เป็นในลักษณะคล้ายกันแบบนี้ แม้นักจิตวิทยาผู้นั้นจะเรียกมันว่าอาการต่อต้านสังคม แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจและรับปากว่าจะไม่ทำแบบนั้นแน่ เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นใดๆ

เพราะฉะนั้นการมองโลกในบางแง่มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก...

No comments: