11 October 2011

เราเป็นเจ้าของดอกไม้


“ทั้งๆ ที่คุณก็พกวัตถุเหล็กสีดำไว้กับตัวเสมอ? แท่งเล็กๆ แต่ฆ่าคนได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...”

ตีพิมพ์ครั้งแรก 6 ตุลาคม 2549 (เครือข่ายนักเขียนฯ งาน 30 ปี 6 ตุลาฯ)

เขาถูกนำตัวเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใกล้ๆ กับวัด มหาวิทยาลัย และบรรดาห้างสรรพสินค้าที่วางตัวอยู่แน่นขนัดถัดจากสี่แยกราชประสงค์ พาตัวเองผ่านโต๊ะเสมียนลึกเข้ามายังบริเวณแผนกร้องทุกข์อย่างตื่นตัว ไม่เคยรู้สึกเป็นมิตรกับที่แห่งนี้ได้สักที... เขาเพียงได้แต่บ่นอิดออดอยู่ในใจ
“ท่านผู้การสวัสดีครับ!” เจ้าของดาวบนบ่าข้างละสามดวงกระแทกส้นเท้าดังกรึ้บ! ด้วยท่าทางแข็งขัน ทำความเคารพเขาอย่างคุ้นเคย
“ไม่เคยรู้สึกเป็นมิตรกับที่แห่งนี้ได้สักที...” เขาแสร้งยิ้ม แล้วพยักเพยิดหน้าเล็กน้อยแสดงอาการรับรู้
ยังคงพาตัวเองเดินต่อไปยังบริเวณหน้าห้องทำงาน ถอนหายใจขับไล่ความไม่สบายใจอีกครั้งแล้วผลักบานประตูกระจกเข้าไปอย่างรู้สึกเสียไม่ได้

จุดไฟสีแดงปรากฏขึ้นที่ปลายบุหรี่ เขาสูดหายใจผ่านก้นกรองนำลมวิ่งลงสู่ปอดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถูกระบายออกสู่ภายนอก ส่งควันขาวคลุ้งขึ้นทั่วบริเวณ
“ขออนุญาตครับ!” หน้าห้องของเขาแสดงความเคารพ ก่อนยกแฟ้มกระดาษแข็ง 2-3 แฟ้มเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ
“เรื่องคดีนายผ่องที่ผมให้ตาม ไปถึงไหนแล้ว” เขาขยับตัวเล็กน้อยให้ชุดเข้าที่ หันมาสนใจกับแฟ้มเอกสารที่ถูกยกเข้ามา
“เขาเสียชีวิตแล้วเมื่อคืนนี้”
“เวรเอ้ย! โลกนี้เอามนุษย์คืนไปอีกคนแล้วเหรอ?” ยกบุหรี่ขึ้นอัดเต็มปอดอีกครั้ง
“เหตุการณ์เป็นยังไง?”
“ทีมของพวกเราบุกจับกุมตัวนายผ่อง เมื่อหลักฐานทุกอย่างพร้อมในตอนเย็น ไม่มีอะไรผิดพลาด เว้นเสียแต่ว่า”
“นายผ่องตาย” สีหน้าของเข้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เว้นเสียแต่ว่าอะไร?”
“เขาขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ!”
“พวกมึงเลยยิงเขา?”
“แล้วไง? เขาพยายามใช้อาวุธตอบโต้ด้วยงั้นรึ?”
“ใช่ครับ เราจึงจำเป็นต้องวิสามัญฆาตกรรม”
“...” ทีท่ากระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นอีกครั้งในรอบหลาย 10 ปีของชีวิต
“พวกเขาเขียนรายงานให้แล้วอยู่ในแฟ้มสีชมพู ตรงหน้าท่าน ยินดีด้วยนะครับท่านที่ปิดคดีนี้ลงได้เสียที...”
“อย่าเพิ่งร้องเพลงเฉลิมฉลองตอนนี้เลย มันยังไม่ใช่เวลา! เอาหล่ะขอบคุณมาก คุณไปทำงานต่อเถอะ?” เขาเน้นเสียงเครียด ประตูถูกปิดลงสนิทพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง (ตามอารมณ์ของท่านไม่เคยทันเสียที ไม่รู้ไปกินรังต่อรังแตนมาจากไหน!) ของนายตำรวจผู้นั้น มวนบุหรี่ถูกขยี้ลงยังที่เขี่ย เสียงภายนอกที่จอแจลดขนาดลง ห้องทำงานส่วนตัวของนายตำรวจยศขนาดนี้อย่างเขาปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ความวุ่นวายภายนอกนั่น?” เขาปัดแฟ้มตรงหน้าตกกระจายเกลื่อนพื้นห้อง หงายหลังพิงเบาะนุ่ม เสียงเครื่องปรับอากาศครางกระหึ่มอย่างสม่ำเสมอ เหม่อลอยจนเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
ละสายตาจากฝ้าเพดาน มือขวาของเขาเลื่อนมาคว้าเมาส์คลิกเปิดหน้าค้นหาข่าวสารในอินเตอร์เน็ตแล้วไล่สายตาตามลำดับข่าวในหน้าจอ
“สังหารหมู่! ผู้ก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูและนักเรียนดับ 5 ศพ” ข่าวลำดับแรกถูกยกขึ้นไว้เป็นข่าวสำคัญของวัน เหตุการณ์ความไม่สงบของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้...
“ข่าวสำคัญ! ไอ้ห่า! ทำอย่างกับ 1 จังหวัดเมืองหลวงภาคกลางมันสงบเรียบร้อยดีอย่างนั้นแหล่ะ!” เขาสบถอย่างหัวเสีย บุหรี่อีกตัวถูกจุดขึ้น มือที่คีบมวนบุหรี่ของเขาเกร็งขืนจนเส้นเลือด และกล้ามเนื้อปรากฏปูดโปน
“แตกต่างอะไรกับข่าวลำดับที่ 12 ว่ะ! ตีนแมวบุกกลางบ้านเศรษฐีกลางกรุง ขนเกลี้ยงก่อนปลิดชีพยกบ้าน 5 ศพทั้งพ่อ แม่ และลูกๆ ห่า! ตีนแมวแม่งไม่ก่อการร้ายเท่า!” เขาคิด
“เราเห็นพวกคนเหล่านั้นเป็นอะไร! จ้องจะจับผิดพวกเขากันมาตั้งแต่ยุคไหนๆ มองเห็นเขาเป็นตัวประหลาดจนพวกเขาอึดอัด ทำให้เหตุการณ์บานปลายอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ? มนุษย์แตกต่างกันตรงไหน? ถ้าใช้ไฟลั่ม ใช้สปีชี่ย์ มาแยกแยะสายพันธุ์ แตกต่างกันตรงไหนถ้าใช้ความเป็นมนุษย์มาบ่งชี้ แค่เชื่อในสิ่งที่แตกต่างกัน มุ่งหมายในสิ่งที่แตกต่างกัน เรื่องเหล่านี้มันสร้างผลร้ายให้มนุษย์กันมามากแค่ไหนแล้ว?” คงแปลกถ้ากฎหมายบังคับให้คนฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนที่คิดต่าง คนที่ไม่ยอมปลิดชีวิตเพื่อนมนุษย์อาจถูกมองว่าเป็นไอ้บ้าใจโหด! หรือคงแปลกถ้าประเทศนี้เป็นประเทศที่นับถือศาสนาอื่น แล้วมีวัดและคนพุทธอยู่แถวๆ 3 จังหวัดชายแดนของภาคใดภาคหนึ่ง และกฎหมายของประเทศห้ามพระสงฆ์ออกบิณฑบาตร หรือนุ่งห่มจีวรสีเหลือง แม้ปัจจุบันจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นแล้วอนาคตจะยอมนิ่งเฉยต่อแรงกดดันภายในจิตใจเชียวหรือ?
“นี่มันโลกบ้าอะไรกัน!” เขาคำรามอยู่ในใจ ยกมือทุบโต๊ะขึ้นปัง! จนแม่บ้านต้องเปิดประตูเข้ามาถาม...
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?” หล่อนโพล่งขึ้น
“วันหลังช่วยเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามาด้วยนะคุณปราณี” เขาพูดขึ้นด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว นึกไม่ถึงว่าตัวเองเคยมีมารยาทถึงขนาดนั้น
จ้องมองใบหน้าซีดสีของหล่อนชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “เอาหล่ะ! ไม่มีอะไรหรอกคุณปราณี ช่วยเก็บแฟ้มเอกสารบนพื้นให้ผมที ผมจะออกไปธุระข้างนอกสักประเดี๋ยว”
“แน่ใจนะค่ะ ว่าท่านไม่เป็นอะไร?”
“คงอย่างนั้น?” เขาทำทีเป็นกระสับกระส่าย มองหาอะไรสักอย่าง “บ้าเอ้ย! อยู่ตรงนี้ได้ไงวะ?”
หล่อนชำเลืองสายตามองหาตามทั่วพื้นห้อง เก็บความสงสัยอยู่เพียงครู่ก็อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ “ท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือค่ะ?”
"บ้าเอ้ย! โลกเรามาอยู่ถึงจุดตรงนี้ได้ยังไงวะ?..."
“...” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก เขาเดินกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากห้อง...

เสียงปืนดังขาดช่วงแต่ไม่เคยสิ้นสุด แผดเสียงลั่นด้วยห้วงทำนองการบรรเลงดังกังวานที่แสนหนักหน่วง และหนักแน่น บางคราวก็หวีดหวิวเล็กแหลมบาดแก้วหู บางคราวก็โหยหาอาดูรฟังคล้ายเป็นเสียงร้องของพญาปีศาจที่รู้จักเวลาเร่ง เวลาผ่อน เวลาอ่อนโยน เวลาหนักแน่น ไพเราะก็ต่อเมื่อมันก้องอยู่ในหูของมนุษย์บ้าสงคราม น่าห่วงที่แม้ในเวลาปัจจุบันเสียงปืนก็ยังไม่เคยสิ้นสุด... รถตำรวจอีกคันเปิดสัญญาณฉุกเฉินวิ่งผ่านไป นายตำรวจใหญ่เดินทอดน่องอยู่ริมถนนไกลออกมาทางสี่แยกปทุมวัน
โลกใบนี้แปลกหน้าสำหรับเขาและเขาก็แปลกหน้าสำหรับโลกใบนี้เสมอ ใครๆ คิดว่าเขาเป็นพวกพูดน้อย และอารมณ์ร้ายที่ดูเหมือนจะมากขึ้นทุกวัน เพื่อนทั้งที่สนิทและไม่สนิทเริ่มไม่เข้าใจเขาและเขาก็เข้าใจคนรอบข้างน้อยลงทุกที

เขารักษาระดับความขุ่นมัวให้ผ่อนลง ทิ้งกายลงแตะบาทวิถี ในชั่วขณะเดียวกับที่เสียงซอเอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเองมาจากบริเวณใกล้ๆ ถัดไปจากเชิงสะพานขึ้นลงที่ทอดตัวเชื่อมถนนเบื้องล่างกับสถานีรถไฟฟ้าสยาม เจ้าของเสียงเพลงคนนั้นร่างกายผอมโซแต่งกายด้วยเสื้อสีมอซอเก่าโทรมจนขาดรุ่งริ่ง แต่ทว่านั่งบรรเลงเพลงซอเสียงหวานจนจับใจอย่างครูเพลงวาทินฝีมือจัด ทำให้เขาค่อยทุเลาอาการลงไปได้บ้าง
“สวัสดีน้องชาย” เขาเริ่มต้นเปิดฉากการเจรจา วณิพกขยับแว่นตาให้เข้าที่พลางชำเลืองมองมาทางเขา มือของวณิพกขยับบรรเลงกลอนสุดท้ายของบทเพลง เมื่อเสียงเอื้อยสุดท้ายสิ้นสุดลงก็วางซอไว้บนระนาบตักอย่างผ่อนคลายแล้วกล่าวขึ้น “สวัสดีผู้พิทักษ์สันติภาพ”
“สันติราษฎร์!”
“แปลว่าอะไร? ขอโทษ! ผมรู้น้อย...” วณิพกอมยิ้มอย่างยียวนกวนสายตา
“รู้น้อย? เกี่ยวด้วยหรือ?” เขากลับรู้สึกไม่เห็นด้วยว่าเป็นคำแก้ตัวที่สมเหตุสมผลสักเท่าไร การศึกษาในระบบช่วยพัฒนาคนได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มาจากผู้รักษาความสันติภาพ บวกกับราษฎร”
“ก็คือคนที่คอยดูแลทุกข์สุขของพวกผมนะหรือ?” วณิพกยกซอขึ้นปรับตั้งสาย สีๆ อี๋ออไปพลาง
“คงใช่ถ้าคุณเป็นราษฎร”
“คงใช่ถ้าผมดูเหมือน! ดูคุณแต่งกายคล้ายตำรวจ? มานั่งทำอะไรตรงนี้” วณิพกกวาดสายตาตรวจสอบเขา บุคคลในวัย 50 ต้นๆ แต่งตัวด้วยชุดกึ่งสูทสีกากีอมน้ำตาลสวมรองเท้าหนังมันปลาบ ผมเกรียนดูน่าตาน่าเกรงขาม เสื้อผ้าปะ และกลัดด้วยสัญลักษณ์ที่ดูแต่ไกลก็น่าจะคาดหมายอาชีพได้ไม่ยาก ไม่น่าจะมานั่งทอดอารมณ์อยู่เพียงลำพังตรงนี้ เขาทำท่าห่อเหี่ยว ไหล่สองข้างลู่ลงข้างลำตัว “ถูกแล้ว ไม่มีอะไรมาก ผมเพียงแต่เบื่อ...”
“มีอะไรทำให้นายตำรวจอย่างคุณรู้สึกเบื่อได้ด้วยหรือ?”
“ถามแปลก!”
“ผมเบื่อความรุนแรง! รังเกียจเสียด้วยซ้ำ”
“ทั้งๆ ที่คุณก็พกวัตถุเหล็กสีดำไว้กับตัวเสมอ? แท่งเล็กๆ แต่ฆ่าคนได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...”
“คุณหมายถึงปืน?” เขาทำที ประหลาดใจระคน “ฟังเหมือนคุณไม่ได้เรียนมาน้อย...”
“การศึกษามันช่วยพัฒนามนุษย์สักแค่ไหนเชียว! ผมอาจจะไม่เข้าใจศัพท์แสงยากๆ แต่ก็ใช่ว่าผมไม่เข้าใจโลก ตลกดี! ยิ่งเรียนสูงยิ่งพูดจาให้เข้าใจกันยากขึ้น แล้วยังไงต่อ?”
“กวนประสาทชะมัด!”
“ปืนนี้ไม่เคยมีลูก! ผมพกไว้เพื่อป้องกันการถูกมองเป็นคนแปลกในสายตาของคนอื่นๆ สมัยที่ผมยังเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อย ผมเคยสังหารผู้ร้ายด้วยมือของตนเอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรังเกียจความรุนแรง”
“แต่คุณก็ยังคงเป็นตำรวจ?”
“อุว่ะ! ไอ้นี่!” เขากระชับมือข้างหนึ่งให้มั่นอยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง เพื่อปลุกปลอบตนเอง และเพื่อระงับโทสะที่กำลังพลุ้งพล่านให้จางลง
“ใช่! แต่ผมก็พยายามตั้งใจทำงาน และสร้างผลงานให้ตัวเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ จะได้ไม่ต้องจับปืนขึ้นฆ่าใครอีกครั้ง! ตอนนี้ผมก็ใช้เพียงหัวสมองในการตัดสินใจ ใช้เพียงอำนาจในการสั่งการลูกน้อง” เสียงถูกเน้นให้ดูใจเย็นขึ้นเล็กน้อย
“แต่คุณก็ไม่นึกรังเกียจ?”
“รังเกียจในอะไร?”
“อำนาจก็ความรุนแรง!”
“อย่างน้อยผมก็ได้ใช้สมอง...” เขาเริ่มเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“ผมแปลกใจ เพิ่งจะรู้ว่างานแบบคุณจำเป็นต้องใช้สิ่งนั้นด้วย?”
“ห่า! เบื่อจริงกับการต่อล้อต่อเถียง กูเจอมาเท่าไรต่อเท่าไรแล้วนะคนแบบนี้!”
“แล้วงานอย่างคุณต้องใช้ด้วยหรือ ขอโทษนะถ้ามันถูกเรียกว่างาน!” เขาย้อน
วณิพกแกล้งส่ายหน้าอย่างยั่วยวนโทสะ เหลือบหันมามองใบหน้าเขาด้วยใบหน้าฉาบด้วยอาการแกล้งสงสัย “ผมเบื่อจริง ปากก็พูดว่าเบื่อความรุนแรง ถุย! มันก็ลงอีหรอบเดียวกันหมด! ผมเจอมาเท่าไรต่อเท่าไรแล้วนะตำรวจแบบนี้!”
“ความโมโหมันก็คือความรุนแรง ตราบใดที่คุณใช้อารมณ์ตัดสินคนอื่น!” วณิพกพูดต่อไป
“น้ำหน้าอย่างคุณจะมาสอนอะไรผม?”
“น้ำหน้าอย่างคุณก็เคยฆ่าคน!” วณิพกจุ้ย ยักไหล่ยักคอประกอบการพูดจนน่าหมั่นไส้
“ไอ้นั่นมันคนเลว!” เขาเถียง
“เหมือนที่คุณเป็นคนดี?” วณิพกย้อน เย้าแหย่จนเขาหมดความอดทน ปราดเข้าคว้าคอเสื้อของวณิพก “อ่ะๆ ไอ้แบบนี้ก็ความรุนแรง!” วณิพกสวนคำเข้าเหมือนเขาถูกใบมีดแหลมคมแทงเข้าตรงกลางขั้วหัวใจ และความรู้สึกอัปยศ
“ไอ้เวร!” หมัดขวาของเขาวิ่งเข้าปะทะใบหน้าด้ายซ้ายของวณิพกเต็มรัก รู้สึกชาอยู่อึดใจก็เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก รอยหัวแหวนอัศวินของนายตำรวจขึ้นเป็นดวงแผลบนใบหน้าซูบผอม ไม่ปล่อยให้ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว และโดยไม่นึกกริ่งเกรงต่ออำนาจของนายตำรวจใหญ่ วณิพกเงื้อซอขึ้นฟาดกลับจนกระโหลกของเครื่องสีแตกกระจายเมื่อกระทบเข้ากับกระโหลกของเขา
“โพล๊ะ!” เขายกมือขึ้นกุมหัว “ไอ้ห่า! หัวกู”
“มึงทำร้ายเจ้าพนักงาน!” เสียงลั่นถนน ทำเอาคนรอบข้างเหลียวหันมาจับจ้องเป็นตาเดียว
“มึงก็ทำร้ายวณิพก!” เขาถูกแย้งเสียงแข็งสวนคืน
“แต่กูเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์!”
“กูก็เป็นราษฎร!” สิ้นคำเถียง พลันกิริยาของวณิพกเปลี่ยนเป็นเซื่องซึม และเหงาหงอย แลดูสงบนิ่งสุขุมราวกับคนละคนโดยไร้สาเหตุ เขาเลิกคิ้วด้วยประหวั่นใจ “ไอ้นี่ถ้าจะบ้า!” หมัดขวาของเขาที่กำแน่นเริ่มคลายลง จัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่ ดูให้แน่ใจในท่าทีของเพื่อนคู่ประฝีปาก เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยดีแล้วก็ลงนั่งเคียงข้างกันอย่างระมัดระวัง

“ผมเคยทะเลาะกับพ่อแม่ของผม ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่” วณิพกกอบเอาเศษกะโหลกของซอที่ตกเกลื่อนเข้ามาใกล้ตัว
“อืม! ผมก็เคย” เขาจัดแจงคว้าผ้าเช็ดหน้าส่งให้วณิพก “ผมขอโทษ!”
“ไม่เป็นไร ผมก็ต้องขอโทษคุณเช่นเดียวกัน” วณิพกยื่นมือไปรับ และมอบยิ้มคืนให้เขา คราวนี้ไร้อารมณ์ยียวนเป็นส่วนผสม “คนเราขัดแย้งกันได้! ไม่มีวันที่คนทั้งโลกจะมองเห็นและคล้อยตามไปในทางเดียวกันได้ทั้งหมดทุกคน เรื่องนี้ผมรู้...”
“ดูไม่เห็นเหมือนเขาจะได้รับการศึกษามาน้อย”
“ผมทะเลาะกับพวกท่าน เพราะพวกท่านไม่เคยเห็นด้วยกับความคิด หรือเรื่องใดๆ ของผมเลย คุณพ่อต้องการให้ผมเป็นตำรวจเช่นเดียวกันกับท่าน ซึ่งผมไม่เคยต้องการ และผมก็ถูกบังคับเคี่ยวเข็นจนเป็นตำรวจอย่างที่คุณเห็น”
“แต่คุณก็ไม่เคยรบกับท่าน เช่นเดียวกันผมก็ไม่เคยทำสงครามกับพ่อแม่ อาจจะเพราะเราทั้งคู่เคารพรักท่าน นอกเหนือจากการดื้อเพ่ง และแอบน้อยใจต่ำใจอยู่ภายใน เมื่อมาเข้าใจในภายหลังว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากความรักและความหวังดีของพวกท่าน ก็ทำเอาละอายไปบ้างเหมือนกัน แต่ยังไงก็ไม่เคยนึกโกรธจนอยากฟ้องศาลโลก... ผมอยากให้การปกครองในเมืองไทยกลับไปเป็นพ่อปกครองลูกเช่นเดิมในบางโอกาสคงเข้าท่าดีไม่น้อย”
“คุณไม่เลื่อมใสในประชาธิปไตย?” เขาขมวดคิ้ว พยายามควบคุมปากที่เผลอถามเหมือนอดเสียไม่ได้ให้หุบลง กลัวว่าการพูดคุยต่อไปจะทำให้เกิดการทำร้ายร่างกายกันอีกครั้ง
“ก็ในบางโอกาส! ผมไม่เห็นว่าประชาธิปไตยอย่างในประเทศเราจะให้สิทธิอันแท้จริงตรงไหน ถึงให้ก็ไม่เห็นประชาชนช่วงใช้สิทธินั้นได้เต็มที่ตรงไหน?”
“ผมไม่เห็นด้วย!” เขาแย้งอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย… แค่รับในความคิดที่แตกต่างได้พอ!” วณิพกตอบ

“ดูเหมือนคุณไม่เห็นจะได้รับการศึกษามาน้อย?” เขายังแอบสงสัย “คุณพูดจาเหมือนคนมีความรู้!”
“ผมไม่โง่จนเกินไปนักหรอกครับ แค่ไม่มีโอกาสได้มีหนังสือดีๆ ให้อ่านมากนัก แต่ก็พอให้มีเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองจากเศษหนังสือพิมพ์ที่คนทิ้งปลิวเกลื่อนท้องถนน ว่างจนได้มีโอกาสแอบมองคนเดินผ่านไปมา แอบได้ยินการพูดคุยกันของผู้คน ว่างจนผมมีเวลาเรียนรู้ และเข้าใจโลก… ต่างกับคนในสมัยนี้รักที่จะสะดวกสบาย และไขว้คว้าเงินทอง ขวนขวายหาพื้นที่ส่วนตัวจนปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างออกจากชีวิต ไม่มีเวลาเหลียวมองแม้ปลายจมูกตัวเอง แหง๋แซ่ะ! มองให้ตายก็ไม่ได้อะไรตอบแทน มนุษย์เราต้องการเพียงเท่านั้น ทำอะไรสักอย่างเพื่อผลตอบแทนที่มีมูลค่าเพียงพอสำหรับตนเอง...” วณิพกแอบยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป “ถ้าผมทนไม่ไหว ถ้าความสุขในการเล่นดนตรีของผมหมดลง หรือผมเข้าใจมันทั้งหมด ไม่แน่ผมอาจจะเลิกสีซอ...”
“หันไปเป่าปี่แทน?” เขายั่วเล่น แล้วหัวเราะพลางคิดรำพึงรำพันกับตัวเอง
“นั่นสินะ ถ้าวันไหนผมทนไม่ไหว ถ้าความสุขในการเป็นตำรวจของผมหมดลง หรือผมเข้าใจระบบมันทั้งหมด ไม่แน่ผมอาจจะเลิกเป็นตำรวจ...” เขาหัวเราะ “เออน่าลอง แล้วหันไปเป่าปี่แทน!”

10 โมงกว่าแล้ว เขาลุกขึ้นออกเดินกลับไปในทิศทางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยปราศจากต้นเสียง... ข้างหูเขายังคงแว่วเสียงซอหวานช่ำดังมาจากทุกทิศทาง...

No comments: