17 June 2009

-: กรณีหัวเอ็ม และการเฝ้าดูอารมณ์เพื่อน :-

“หลายชื่อในนั้นล้วนทำให้ผมดราม่าน้ำตาไหล หลายชื่อชวนติดตามแบบแม่บ้านติดลีซานอย่างไงอย่างงั้น และหลายชื่อดูกวนตา กวนใจ กวนความรู้สึกเป็นที่สุด”


ช่วงนี้ผมกำลังเริ่มดำเนินธุรกิจของตัวเองในขณะที่ยังไม่มีสถานที่ตั้งออฟฟิตเป็นหลักเป็นแหล่ง ผลที่ตามมาก็คือ การติดต่อสื่อสารผ่านสายโทรศัพท์ที่ลากให้ผมและสมาชิกในทีมมานั่งอยู่ใกล้กันเหมือนตูดชนตูด พูดคุยกันรู้เรื่องและเข้าใจผ่านตัวอักษรและสายไฟที่ยาวไกลนับกิโล

MSN นั่นเองคือตัวช่วยแรกๆ ของผมและกลุ่มเพื่อนๆ ที่ทำโปรเจค 1,000 ล้านนี้ด้วยกัน (ขอโทษนะ ผมขี้โม้!) และด้วยการที่ต้องออนไลน์เป็นประจำ ทำให้มีเพื่อนหลายคนทักทายกับผมมาในโปรแกรมช่างคุยนี้ และพยายามตั้งคำถามว่าผมเป็นอะไรจึงได้ตั้งชื่อเอ็มได้หม่นเศร้าเทาดำหรือไม่ก็ยาวยืดช่างฝันได้ทุกวี่ทุกวัน แรกๆ ยอมรับครับ ว่าไม่ทันได้สังเกตตัวเองเท่าไรนัก แต่พอมีคนถามมาหลายคนเข้า ไอ้เราก็เลยไล่ตามเก็บชื่อหัวเอ็มของตัวเองในบันทึกการสนทนามาลองวิเคราะห์ดู เออ! จริงด้วยว่ะ!

- ถ้าเกิดว่าเราไม่เคยรู้จักกัน แล้วเพียงบังเอิญเดินสวนกันในเช้าวันนี้ เราจะยังส่งยิ้มให้กันไหม?
- ธรรมชาติสร้างมนุษย์ มนุษย์เอ่ยคำขอบคุณ แล้วทำลายธรรมชาติ
- ป : บางครั้งเพลงประกอบชีวิตก็ดังขึ้นในฉากของโลกความจริง
- เราวิ่งเล่นกันอย่างนี้ตั้งแต่ดอกเดซี่ยังไม่ร่วง
- ผลสำรวจบอกเราว่า ณ พงศ์ อ่านหนังสือวันละ 8 บรรทัด
- รู้สึกเหมือนโลกไม่ได้หมุนอยู่...
- ถึงไม่มีผม ไม่มีเฟืองตัวนี้ เครื่องจักรเศรษฐกิจโลกคงไม่ถึงคราวล่มสลาย...
- รุ่งอรุณของวันที่โลกเต็มดวง
- ป : ต้นไม้ตั้งเหงาอยู่ใต้เงาตึก
- ณ พงศ์ : ผมมองเข้าไปในความฝัน... ที่นั่นไม่มีใครอยู่ หรืออาจจะมีคนอื่นอยู่บ้าง แต่ไม่มีผมอยู่ในนั้น...
- ณ พงศ์ : ท้องฟ้าจะรู้บ้างไหม ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่...
- ณ พงศ์ : อยากถอนหายใจอย่างนี้สักร้อยปีร้อยชาติ
- ป : ดวงดาวคงไม่จดจำว่าเคยมีคนๆ หนึ่งเฝ้ามอง สำหรับดวงดาวแล้ว เราอาจไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน...
- ระบายลมหายใจอีกห้วงทิ้งไปกับสายลมหนาว

อืม........ สงสัยผมกำลังอาศัยอยู่ใต้เมฆฝนครึ้มๆ แบบเดินไปไหน เมฆไปตาม เหมือนในนิทานบางเรื่อง! หรือยังไง?

เมื่อรับรู้เรื่องราวของตัวเอง ผมก็เลยเถิดไปนั่งสังเกตชื่อหัวเอ็มของเพื่อนในลิสต์หลายๆ คน โดยเฉพาะที่มันเด้งดึ๋งขึ้นมาที่มุมขวาล่างของหน้าจอ หลายชื่อในนั้น ล้วนทำให้ผมดราม่าน้ำตาไหล หลายชื่อชวนติดตามแบบแม่บ้านติดลีซานอย่างไงอย่างงั้น และหลายชื่อดูกวนตา กวนใจ กวนความรู้สึกเป็นที่สุด เช่น

- ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น!
อืม... แล้วออนไลน์ทำไมครับพี่?

- Oat : ถึง net จะหลุด ก็ไม่หยุดรักเธอ
เอ่อ... พี่โอ้ตฮะ แนะนำให้ไปตัดสติกเกอร์แปะหลังรถบรรทุกฮะ ชอบจริงๆ

- Ying : อารมณ์เหมือนใบไม้ ไหวแต่น่ารัก
จินตนาการตามไม่ออกว่ะไอ้หญิง ตรงใบไม้ไหวอ่ะพอได้ แต่ตรงน่ารักเนี่ย บรื๋อ......

- อย่าทำเหมือนรัก ถ้าเธอไม่คิดจะรัก...
เศร้านะฮะน้อง

- คิดถึงแนนทุกลมหายใจน้า
ส่ง SMS กันเหรอฮะ?

- ไอ้พวกพูดมาก แม่งเอ้ย ไอ้...
เฮ้ย! เป็นไรป่ะฮะ พอดีผมมีธุระจะคุยกับคุณด้วยสิ แต่ไม่กล้าทักฮะ!

- L'amour est autour de moi. Qu'est ce-que l'amour? les fleurs? le soleil? ou le ciel?
แปลว่าไรฮะ ใครรู้ช่วยผมหน่อย

- ผมเป็นชายเจ้าชู้
รู้ฮะรู้

- ฉันเลย OK!
ผมก็โอเคกับพี่ด้วยฮะ

- อารมณ์เหมือนใบไม้ แต่ไม่ไหวแล้วว่ะกู!!
เอ่อ... คุ้นๆ นะฮะ ล้อเลียนหัวเอ็มใครอยู่ป่าวฮะ?

- อย่าลืมดื่มน้ำที่วางไว้
คือไรฮะ!!?

- คนดีไม่มีที่อยู่ Ver. จงชราอย่างกล้าหาญและขึ้นคานอย่างมีศักดิ์ศรี
สู้เขาพ่อ!

- ใจเหนียว
???????

- .
ใจเย็นๆ นะจ๊ะ

- Vision change the world!
อืม คมทีเดียว

- อยากกินอาหารญี่ปุ่น
น่าสนฮะ

- กูทำงานมาเหนื่อยยาก โดนภาษีสูบไปหมด สาดดดดดดดดเอ้ย
......

- อยากได้หน้ากากป้องกันหวัด 2010
อัพเดทนะฮะ เกินคนอื่นไปตั้งปี?

- สายไหม?
ไม่นะ!

- คนเดินถนน : รักแท้รักที่อะไร ตับไตไส้พุง หรือรักตรงที่เกี๊ยวกุ้ง ว่ามีหลายตัว
เพื่อนผมเป็นคนตลกดีจังฮะ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสร้างสรรค์บนหัวเอ็มของเพื่อนภายในลิสต์ ผมรู้ว่าคุณก็คงต้องเคยพบเหตุการณ์อะไรทำนองนี้มาบ้าง ใครมีอะไรแปลกๆ คอมเมนต์มาบอกผมด้วยนะครับ ผมกำลังสะสมอยู่!!

16 June 2009

-: The Triplettes of Belleville (2003) :-




The Triplettes of Belleville (2003)
บิ๊กตูบผจญภัยกับคุณนายไบซิเคิล

Directors : Sylvain Chomet

The Triplettes of Belleville พูดถึงชีวิตของหญิงชราชื่อมาดามซูซา และชามปิญองหลานชายตัวน้อยที่กำลังตกอยู่ในความซึมเศร้า วันหนึ่งหญิงชราตัดสินใจซื้อจักรยานให้เด็กน้อยเป็นของขวัญ โดยสองยายหลานเฝ้าฝึกฝนปั่นจักรยานกันทั้งคืนทั้งวันจนภายหลังชามปิยองได้กลายมาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเกร็ง ท่าทางขี้โรค แต่มีขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบวมโต ชามปิญองเข้าแข่งขันในรายการจักรยานทางไกล ‘ตูร์ เดอ ฟรองซ์' (Tour de France) และเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายในระหว่างนั้น แม้การ์ตูนเรื่องนี้จะมีบทพูดเพียงน้อยนิด และอาจอยู่ห่างไกลจากคำว่าน่ารักคิกขุ ที่น่าใช้เปิดให้ลูกๆ ดูแทนการเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน แต่ด้วยจินตนาการอันน่าพิศวง เพลงประกอบที่งดงาม คาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ และสีสันนุ่มละมุนของภาพภายในเรื่อง กลับทำให้ The Triplettes of Belleville ดูคล้ายงานศิลปะที่ชวนให้ขนลุกเพราะสามารถมอบแรงบันดาลใจดีๆ ให้คนดูได้อย่างมหาศาล



-: Big Fish (2003) :-




Big Fish (2003)
จินตนาการรัก ลิขิตชีวิต

Directors : Tim Burton

เรื่องราวของคนธรรมดาบางคนอาจสามารถแต่งแต้มสีสันให้กลายเป็นเรื่องเล่าเหนือจินตนาการได้ เช่นเดียวกับเรื่องเล่าจากปากของเอ๊ดเวิร์ด บลูม ชายหนุ่มธรรมดาๆ ที่เดินทางออกจากหมู่บ้านชนบทเพื่อไปค้นหาเรื่องราวใหม่ๆ ให้ชีวิตอันแสนน่าเบื่อของตน ระหว่างการใช้ชีวิต เขาได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งเพื่อนตัวยักษ์ ปลาตัวใหญ่ เมืองที่เหมือนดั่งสรวงสวรรค์ การเข้าทำงานในคณะละครสัตว์ แฝดหญิงตัวติดกัน รวมถึงการสร้างทุ่งดอกไม้กว้างไกลให้หญิงคนรัก โดยบลูมล้วนแต่เล่าให้คนอื่นฟังราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเทพนิยายเพ้อฝัน และผู้ฟังก็ชื่นชอบเรื่องเล่าของเขาเสียด้วย เว้นแต่วิล บลูม ลูกชายเพียงคนเดียวของเอ๊ดเวิร์ดที่กลับหัวเราะเยาะและมองว่าพ่อเป็นคนน่าเบื่อหน่ายที่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระ เขาไม่สามารถสนิทสนมและลองเรียนรู้ตัวตนจริงๆ ของพ่อบังเกิดเกล้าได้ เพียงเพราะกำแพงเตี้ยๆ ที่เรียกว่า ‘มุมในการมองโลก’ กำลังกั้นขวางคนทั้งคู่อยู่ หากจะมองกันดีๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโลกจริงในปัจจุบันไม่ใช่หรือ?



-: Tarnation (2003):-




Tarnation (2003)
ทาร์เนชั่น 218 ดอลล่าร์...ฝันไม่มีวันจบ

Directors : Jonathan Caouette

ไม่แปลกที่ใครๆ ก็พากันพูดว่าอเมริกันชาติช่างน่านับถือ เพราะแท้จริงแล้วเบื้องหลังผู้คนโก้หรู ตึกรามบ้านช่องยิ่งใหญ่ และภาพความสุขสมช่างฝันในภาพยนตร์ฮอลิวู๊ดทุนสร้างร้อยล้าน ไม่เคยพลิกให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมหลังบทภาพยนตร์เหล่านั้น ในขณะที่โจนาธาน คอเอตต์ ผู้กำกับและเจ้าของชีวิตจากเรื่อง Tarnation หนังสารคดีอินดี้เกย์เรื่องเยี่ยมอาจไม่เชื่อในภาพมายาสวยงาม จึงได้หยิบยกวัตถุดิบมากมายทั้งข้อความในมือถือ รูปถ่าย วิดีโอที่ถ่ายเล่น และหนังสั้นยุคแรกของเขามาผสมผสานเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองที่เป็นเกย์ ต้องหนีจากแรงกดดันจากตาและยาย แม่เป็นโรคป่วยทางจิต อีกทั้งเขายังได้สอดแทรกประเด็นที่เสียดสีความรุนแรงและเสื่อมโทรมในสังคมอเมริกันชนิดที่ใครๆ อาจนึกไม่ถึงไว้ หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายจากเวทีประกวดทั่วโลก และช่วยเปลี่ยนทัศนคติของคนทำหนังผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่า ต้นทุนเพียง 218 ดอลล่าร์ก็ให้กำเนิดหนังสร้างสรรค์คุณภาพเช่นนี้ได้เหมือนกัน



15 June 2009

-: โปรดออกเสียงเป็นภาษาไทย :-

Drawing by Audrey Kawasaki
“สิ่งที่ตามมาจากการเร่งพัฒนาอารยธรรมของประเทศไทยให้เท่าทัน อาจทำให้วันนี้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ นั่งมองดูโลกที่ผมไม่รู้จักพาผมหมุนไปตามวงจรที่ผมไม่รู้จัก ไม่ได้สนุกไปกว่าการนั่งม้าหมุน... อยากลงจากเครื่องเล่นแต่ก็รบกวนคนทั้งหมดแค่เพียงให้ม้าหมุนหยุดจอดปล่อยผมลง”


“If you talk to a man in a language he understands, that goes to his head. If you talk to him in his language, that goes to his heart.”
เนลสัน แมนเดลลา (เกิดเมื่อพ.ศ. 2461, ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของอัฟริกาใต้พ.ศ. 2537, ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพพ.ศ. 2536)

เวลาใกล้ห้าโมงเย็นแล้วขณะที่รอคอยให้หยาดฝนโปรยปรายลงมาอย่างทุกวัน ผมนั่งมองดูคนอื่นเดินพลุกพล่านและเคลื่อนไหวผ่านไปมา เมฆที่ลอยอยู่ข้างบนหม่นครึ้มจนคาดเดาสีได้ลำบากแต่ก็ดูตัดกับสีฟ้าสดของท้องฟ้ายามเย็นที่ยังคงสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่เหลือค้างอยู่ ความมืดมัวบนฉากแห่งความสดใสตัดขาดโลกของผมออกจากผู้อื่นชั่วขณะ ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วพอๆ กับรถไฟฟ้าที่ผมโดยสารอยู่ และยังไม่มีท่าทีจะเข้าจอดเทียบสถานีไหน

ผมหันกลับเข้ามาดูในห้องโดยสารโอ่โถงแต่ผู้คนยืนเบียดกันอย่างคับแคบ ใกล้ชิดแทบหายใจรดต้นคอกันและกันแต่ปราศจากการปฏิสัมพันธ์ใดๆ คนเราพูดกันด้วยภาษาอะไร? หากเราไม่ได้เปล่งเสียงหรือส่งสัญญาณอะไรบางอย่างถึงกัน แต่ละคนยืนอยู่ในพื้นที่ส่วนรวมอย่างส่วนตัว เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่หัวเราะรุ่มร่ามอยู่ข้างพี่ชายที่ยืนหลับ น้องสาวคุยโทรศัพท์มือถือยืนหันหลังเกือบชนกับพระสงฆ์ที่ก็กำลังพูดโทรศัพท์จนเหมือนทั้งสองคุยกันเอง ผู้หญิงสวมเสื้อสีเหลือง ที่ยืนประจันหน้ากับผู้ชายที่สวมเสื้อสีน้ำตาล ต่างฝ่ายต่างแปลกหน้าและพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่จำเป็นต้องจ้องจับกัน เสียงพูดของคนนับร้อยบนรถไฟฟ้ากลับเหลือเพียงเสียงเดียว... เสียงของความเงียบงัน

ทำไมบางครั้งแม้คนที่พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ กลับไม่เข้าใจกันและกัน...

ทุกคนรู้ดีว่าภาษาถือเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสารระหว่างคนสองคนขึ้นไป รู้ดียิ่งขึ้นไปอีกว่าประเทศไทยที่เราร่วมอยู่อาศัยหลับนอนนี้ มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติของตัวเอง และธรรมดาของวัฒนธรรม ส่วนของภาษาก็ไม่สามารถหนีพ้นจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนับวันก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นจนน่าใจหาย

เหตุผลสำคัญอาจเป็นเพราะการมองโลกด้วยสายตาของชาวตะวันตก จากโครงสร้างของภาษาที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็กลายไปเป็นการใช้รูปแบบสำนวนอย่างภาษาอังกฤษเข้ามาแทนที่ ถึงแม้จะเถียงได้ยากว่าโครงสร้างของภาษาอังกฤษนั้นแข็งแรงและสวยงามกว่าก็ตาม รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้สังคมไทยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้น เร็วจนทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนแผ่นดินต้องเร่งรีบตามไปด้วย ตื่นเร็ว ทำงานเร็ว ร่ำรวยเร็ว เจ็บป่วยเร็ว แก่เร็ว ตายเร็ว ก็เกิดเร็ว... ภาษาไทยจึงต้องเผชิญหน้ากับการกระทบกระทั่งของปัจจัยเหล่านี้อยู่ไม่วางวาย

สายตาของโลกซีกตะวันตกคือการมองทุกอย่างที่พัฒนาทางด้านอารยธรรมว่างดงาม และสบายตามากกว่าการพัฒนาด้านวัฒนธรรม รื้อชิ้นส่วนของสังคมออกเป็นชิ้นเล็กๆ ในระดับปัจเจก ขณะที่สายตาของโลกซีกตะวันออกถอยหลังออกมาแล้วมองโลกทั้งใบเป็นเพียงโลกทั้งใบ... หรือการมองโลกในระดับองค์รวม...

นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อคราวที่ชาติตะวันตกเรืองอำนาจขึ้นเหนือเขตแคว้นอื่นๆ ทั่วโลกเนื่องจากโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะตอบคำถามให้กับมนุษย์ได้ละเอียดชัดแจ้งกว่าพระคัมภีร์ของศาสนาใดๆ กระแสอารยธรรมที่พัฒนาขึ้นมาพร้อมกับวัตถุเปลี่ยนแปลงตำราเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย จนเกิดเป็นลัทธิทุนนิยมที่แพร่กระจายอยู่ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตเพื่อตอบโจทย์เพียงแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้กำไรมากที่สุด ในขณะที่ใช้ทุนน้อยที่สุด น่ากลัว แต่ก็ฝืนตัวไม่ถนัด...

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ผู้คนบนรถไฟฟ้ายังอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเช่นเดิม...

จนเมื่อมหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) เป็นคนเอเชียร่วมสมัยคนแรกที่ชี้ให้เห็นอันตรายของอารยธรรมตะวันตก ไม่เพียงแต่โดยความคิดและคำพูดเท่านั้น ยังได้ประพฤติปฏิบัติหลักอหิงสธรรมและสัตยาเคราะห์จนสั่นสะเทือนไปทั่วชมพูทวีป และทั่วทั้งโลกจนเอินสท์ ชูมากเกอร์ (Ernst Friedrich Schumacher) นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันมองเห็น และตระหนักถึงความสำคัญของอารยธรรมตะวันออก และเห็นว่าชาติตะวันตกสมควรต้องมาเรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ก่อนที่จะนำพาโลกทั้งโลกไปสู่หายนะ

ในที่สุดอารยธรรมตะวันตกก็ฟาดงวงฟาดงาเข้ามาถึงประเทศไทย และเราก็ยินดีค้อมหัวยอมรับ สิ่งที่ตามมาจากการเร่งพัฒนาอารยธรรมของประเทศไทยให้เท่าทัน อาจทำให้วันนี้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ นั่งมองดูโลกที่ผมไม่รู้จักพาผมหมุนไปตามวงจรที่ผมไม่รู้จัก ไม่ได้สนุกไปกว่าการนั่งม้าหมุน... อยากลงจากเครื่องเล่นแต่ก็รบกวนคนทั้งหมดแค่เพียงให้ม้าหมุนหยุดจอดปล่อยผมลง รถไฟฟ้าเข้าจอดเทียบสถานีปลายทางแล้ว ผมเหลียวไปมองดูผู้หญิงในเสื้อสีเหลืองอมยิ้มอ่อนโยนเมื่อผู้ชายในเสื้อสีน้ำตาลกล่าวคำขอโทษหลังจากถูกผู้ร่วมการเดินทางคนอื่นเบียดผลักทำให้ร่างกายของทั้งสองสัมผัสกัน “คนเยอะจังเลยนะครับวันนี้” ชายหนุ่มยิ้มเขินแล้วกล่าวกับหญิงแปลกหน้า

ผู้หญิงเสื้อเหลืองกางร่มสีน้ำตาลในมือขึ้นบังเม็ดฝน ผู้ชายเสื้อสีน้ำตาลกระชับร่มสีเหลืองไว้ในมือ ทั้งสองเดินลงจากสถานีแล้วพูดคุยกันตลอดทางอย่างออกรสจนทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าทั้งสองจะใช้ภาษาอะไรคุยกัน ไม่ว่าภาษาไทยจะถูกแรงใดๆ โบยตีให้ชอกช้ำจนบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง ตามปรกติของภาษาที่ยังไม่ตาย ฝืนดึงรั้งไปก็เหนื่อย แต่จะปล่อยให้ถูกฉุดลากไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ที่สิ้นสุดก็อันตราย

โชคดีที่เรายังมีวันภาษาไทยแห่งชาติให้คิดถึงในวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี (หากใครหลายคนยังไม่รู้) อย่างน้อยในวันนี้ผมก็เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางม้าหมุนที่เหวี่ยงแรง แค่เพียงคนทั้งสองเริ่มต้นพูดคุยกัน...

หกโมงเย็นแล้วเสียงเพลงชาติจากร้านค้าใกล้ๆ ดังขึ้นทุกคนหยุดนิ่งยืนตรงเพื่อรำลึกถึงเอกลักษณ์ไทยที่น่าภูมิใจ จังหวะนั้นผมก้าวขึ้นรถเมล์ไปครึ่งตัวแล้วไม่สามารถหยุดทำความเคารพต่อสิ่งใดๆ ได้อีก หากเลือดรักชาติของผมพลุ่งพล่านขึ้นมาในวินาทีนั้นคงถูกรถเมล์กระชากตัวรถให้ผมหล่นลงมาภูมิใจในความเป็นไทยต่อกับพื้นถนน เสียงภาษาไทยที่ถูกประพันธ์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงประสานรับกับท่วงทำนองอย่างไพเราะ น่าภูมิใจที่ประเทศของเรามีภาษาเป็นของตัวเอง

ทิ้งช่วงไม่เกิน 2 ท่อนเพลงชาติก็หยุดเสียงลง เจ้าของร้านค้าดึงปลั๊กวิทยุออก “ไอ้บ้านี่! คนอื่นเขาเคารพธงชาติอยู่ เลยไม่ต้องรู้กันพอดีว่าเพลงจะจบเมื่อไร” ภรรยาของชายผู้ทำลายวัฒนธรรมของชาติเสียในเสี้ยววินาทีบ่นเสียงดัง เจ้าของวิทยุยิ้มแหย๋แล้วเดินไม่รู้ไม่ชี้ไปด้านหลังของตัวร้าน ทุกคนในบริเวณป้ายรถเมล์ลุกลี้ลุกลนมองหน้ากันเลิกลั่กคาดเดาไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ภาพสุดท้ายก่อนรถเมล์ที่ผมโดยสารจะเคลื่อนตัวออกไปคือหลายคนออกเดินและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงเสื้อสีเหลืองถือร่มสีน้ำตาลกับผู้ชายเสื้อสีน้ำตาลถือร่มสีเหลืองแอบป้องปากหัวเราะกันคิกคัก จนผมเผลอหัวเราะตามพวกเขา ฝนตกปรอยๆ พัดลมเย็นสดชื่นโชยเข้ามาปะทะร่างกาย ผมนึกชอบประเทศที่ผมอยู่

เผยแพร่ครั้งแรกที่ - คอลัมน์เหตุผลรองสุดท้ายของการมีชีวิตฯ นิตยสารออนไลน์หมดปัญญา ฉบับที่ 1 (สิงหาคม 2550)

10 June 2009

-: When Microsoft Learn to Design :-



สตีฟ จอบส์ ป๋าใหญ่แห่งค่าย Macintosh เคยกล่าวไว้ว่า ที่บริษัทและผลิตภัณฑ์ของเขาประสบความสำเร็จได้ เป็นเพราะคาถาวิเศษที่ประกอบด้วยคำ 2 คำ นั่นคือ “Industrial Design”

ยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft จึงต้องยอมรับในความจริงข้อนี้ ดังที่เห็นได้จากทิศทางของวาระการพูดคุยในงานประชุม Remix 2008 ที่เมือง Brighton ประเทศอังกฤษ โดย Bill Buxton ตัวแทนฝ่ายวิจัยของ Microsoft ได้ออกมากล่าวถึงการที่บริษัทจะต้องมุ่งความสนใจไปที่งานออกแบบที่จะเกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ต่างๆ เป็นเพราะเกมการตลาดของโลกได้เปลี่ยนมือจาก ‘ต้องใช้งานได้ ความสวยไว้ที่หลัง (Form Follow Function)’ ไปเป็นการตลาดแบบ ‘สวยเรียกพี่ ดีเรียกพ่อ (Form and Function)’ ซะแล้ว

-: Short Film to the London 2012 Olympic Games :-



หนังสั้นโฆษณาเมืองลอนดอนชิ้นนี้สร้างขึ้นโดย Th1ng สตูดิโอมิกซ์มีเดียและแอนิเมชั่นมือรางวัลของประเทศอังกฤษ เพื่อจุดประสงค์ในการช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในลอนดอนและส่งเสริมการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิคลอนดอน 2012

เนื้อหาภายในเรื่องสั้นชิ้นนี้ใช้สัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมือง เช่น แม่น้ำเทมส์ ดนตรี ตลาดหุ้น รวมไปถึงวัฒนธรรมทางสังคมเช่นงานปาร์ตี้ และการพ่นสีกำแพง เพื่อเล่าถึงการรวมตัวกันของมนต์เสน่ห์ภายในเมือง ทั้งงานศิลป์ กีฬา ไลฟสไตล์ ความรุ่มรวย และความร่าเริง สื่อผ่านการเดินทางของหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์แจกฟรีที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ลำดับภาพในการเล่าเรื่องและผสมผสานกับเทคนิคทางการถ่ายทำ เช่น การเดินภาพเร็ว โมชั่นเบลอ โมชั่นอาร์ต และการเล่นกับแสงสี สิ่งเหล่านี้ช่วยบ่งบอกถึงศักยภาพระดับโลกของวงการภาพยนตร์ลอนดอนที่เห็นแล้วอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้

-: Ridiculous Design Rules - เรื่องตลกร้ายในงานออกแบบ :-



การออกแบบบนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์มักไม่ถูกนิยามผ่านข้อจำกัดทางกฎเกณฑ์สักเท่าไรนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราไม่เคยเห็นนักออกแบบคนไหนลุกขึ้นมาออกกฎหมายห้ามใช้ตัวหนังสือสีขาวบนพื้นดำ หรือมีคนถูกจับเพราะดีไซน์เก้าอี้พลาสติกโมโนบล็อกที่คนคุ้นตาให้มีรูปแบบแตกต่างไปจากเดิม กฎเหล่านี้จึงกลายเป็นเพียงความเคยชินส่วนบุคคลที่หากคนอื่นได้ยินแล้ว ถ้าไม่ทำหน้ามึนก็คงต้องหัวเราะจนฟันร่วง จำพวก “อย่าใช้เครื่อง PC ในงานออกแบบ - ใกล้กำหนดส่งแล้วค่อยเร่งทำงาน เพราะช่วงนั้นความคิดสร้างสรรค์จะล้นทะลัก - งานสวยๆ ที่ลอกเขามา ย่อมดีกว่างานต้นแบบห่วยๆ”

แต่ ‘Ridiculous Design Rules (www.ridiculousdesignrules.com)’ กลับนึกสนุก โดยสร้างพื้นที่ให้คนทั่วไปหรือนักออกแบบขาโจ๋ได้เข้ามาโพส มาอ่าน มาขำกลิ้ง แล้วจัดอันดับให้คะแนนกฎเพี้ยนๆ เหล่านี้ และนอกจากนั้นเว็บไซต์ยังได้รวบรวมข่าวสารและบทความที่เกี่ยวข้องกับงานดีไซน์ (อันนี้ได้ประโยชน์จริงๆ) ไว้ให้เพิ่มเติมมุมมองกันมากขึ้น ฟังแล้วอาจดูแปลกและเพี้ยนไปหน่อย แต่ความสดใหม่แบบนี้ก็น่าจะช่วยให้นักออกแบบได้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ จนอยากผลิตผลงานดีๆ ออกมาบนโลกอีกสักชิ้นก็เป็นได้