4 December 2008

-: 3/4 ใบหน้าของมนุษย์ :-

“ก็เนื่องมาจากเจ้าชายทำรองเท้าคนนั้นเกิดความคลางแคลงสงสัยในงานที่ตัวเองทำ จนพาลทำให้คลางแคลงสงสัยไปถึงชีวิตของตัวเอง เขาเกิดไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ”



วันนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมา ท้องฟ้าดูสดใส สว่าง จนความมืดไม่อาจทำลายความสว่างนั้นได้ ปุยเมฆสีเข้มกระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้า พร้อมกับดาวฤกษ์ประจำสุริยะจักรวาล สีขาว “ดาวอาทิตย์” ที่ส่องแสงนวลสว่าง คู่กับมนุษย์เรามาหลายล้านปีสี

วันนี้ผมต้องออกตระเวนเพื่อไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของผมหลายคน เพราะผมกำลังจะเข้าเป็นนักประพฤติและแสวงหาของหน่วยงานหลักบนดาวเคราะห์โลก หน่วยงานที่หล่อหลอมรวมเอาจิตใจมนุษย์ทั้งหมดเข้าเป็นส่วนเดียวกัน เพื่อปกป้อง “สหภาพมนุษย์” (the Union of Human) จากการก่อสงครามของสิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ถูกพวกเราเรียกว่า “เออาร์ที” (ART : Anti-Realism Terrorists)

หน่วยงานของเราเหล่ามนุษย์นี้ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “หน่วยงานเลียน” (Copy Center) มาร่วม แสนปีสีแล้ว ใช่! นานมากเมื่อเทียบกับอายุขัยของพวกเรา ๑๒ ปีสี หน่วยงานนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกเหล่าบนดาวโลก โดยยึดถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้พวกเรารู้จักท่านนามของ “เทพเจ้าโมนีย์” (Mo-ney)

“ตามตำนานเทพนิยาย เทพเจ้าโมนีย์เสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสูงที่สุดโดยมีภาระหน้าที่ในการบันดาลสิ่งที่เทพน้อยใหญ่ปรารถนาให้เกิดขึ้นกับเขาผู้นั้น” พ่อบอกกับผมในวันหนึ่ง
“รวมไปถึงความต้องการของมนุษย์บนพื้นโลก และสิ่งมีชีวิตถ้วนหน้าในจักรวาลพิภพ หลังจากที่พระองค์ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ตามบัญชาจากกษัตริย์ของเหล่าเทพมาเป็นเวลาหลายล้านล้านปีสี แต่แล้วเรื่องราววุ่นวายได้เกิดขึ้นบนเอกภพหรือโลกแห่งแผ่นดินสวรรค์จนได้ ก็เมื่อคราวที่ชายทำร้องเท้าจากเมืองโทโลกหรือโลกของมนุษย์ต้องการที่จะเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอม” พ่อหยุดถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อ
“เทพเจ้าเดร์แอมคือใครหรือครับ?” ผมในวัยนั้นกล่าวถาม
“เทพเจ้าเดร์แอม (Dre-am) คือเทพเจ้าที่พวกเออาร์ทีมันเคารพนับถือ เทพเจ้าเดร์แอมเป็นเทพเจ้าแห่งความสุข ซึ่งคอยดลบันดาลพลังใจให้กับสรรพสิ่งทั่วโลก เมื่อเขาเหล่านั้นถึงคราวหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เจ้ารู้ไหมว่าครั้งหนึ่งเทพโมนีย์ก็เคยมาขอรับพรจากเทพเจ้าเดร์แอมนะในสมัยที่ทั้งสองยังเป็นเทพบุตรตัวเล็กๆ” พ่อพูดเน้นเสียงอย่างหัวเสีย อาจเพราะรู้สึกเสียหน้าแทนเทพที่ตนเองศรัทธา “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรมากมาย? ปัญหามันก็แค่ในตอนนั้นเทพเจ้าของพวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะใช้พรของตัวเองดลบันดาลความสุขให้ตัวเองได้ แต่เทพเจ้าเดร์แอมนั้นมีพรติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดขึ้นบนสรวงสวรรค์”
“แล้วทำไมชายทำรองเท้าถึงไปขอเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอมหรือครับ?” ผมเร่งให้พ่อเล่าต่อ

“ก็เนื่องมาจากเจ้าชายทำรองเท้าคนนั้นเกิดความคลางแคลงสงสัยในงานที่ตัวเองทำ จนพาลทำให้คลางแคลงสงสัยไปถึงชีวิตของตัวเอง เขาเกิดไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ และถึงกับสวดอ้อนวอนต่อหน้าประชาชนทำให้เทพเจ้าโมนีย์ของเราเสียหน้า เช่นในพระคัมภีร์ที่กล่าวอ้างถึงถ้อยคำของชายคนนั้นไว้ว่า - ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าที่เรารัก เราไม่ได้ต้องการทุกอย่างในชีวิต เราต้องการเพียงอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุข ท่านมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ภรรยาสาวสวย ลูกชายที่จะมาดูแลกิจการต่อ หน้าที่การงานที่มั่นคงและลูกค้าที่ซื่อสัตย์ แต่เราไม่ได้ต้องการภรรยาสาวสวยที่คอยบ่นว่าทุกครั้งเมื่อเราอยากพักผ่อนและปิดร้าน ไม่ได้ต้องการลูกชายที่เราอยากให้ทำรองเท้าที่คนใส่แล้วจะมีความสุขแต่เขากลับสนใจแต่เพียงเชือกและหนังชนิดใดที่ทำรองเท้าได้ราคาถูกจนทำให้ขายได้กำไรมากขึ้น เราไม่ได้ต้องการหน้าที่การงานที่มั่นคงและลูกค้าที่ซื่อสัตย์โดยที่เราต้องคอยง้อลูกค้าที่มีแต่อยากจะได้รองเท้าจากร้านของเราใส่เพื่ออวดโอ่ มากกว่าสวมใส่เพื่อป้องกันผิวเท้าจากคมบาดของพื้นกรวด ท่านเป็นเทพเจ้าที่เราไม่ต้องการ ได้โปรดให้เราเข้าเฝ้าเทพเจ้าเดร์แอมเพื่อทูลขอเพียงความสุข ได้โปรดเปลี่ยนหน้าที่ของพระองค์ให้เทพเจ้าที่เราต้องการด้วยเถิด – พ่อไม่เข้าใจคนพวกนี้จริงๆ และพวกเออาร์ทีนี่แหล่ะที่ยึดถือบทสวดนี้เป็นสรณะ ทั้งๆ ที่มันเป็นบทสวดต่อว่าพระเจ้าของพวกเรา”

“แล้วชายคนนั้นได้พบเทพเจ้าเดร์แอมไหมครับ?” ผมยังกล่าวถามต่อไป พร้อมกับรอยบูดบึ้งที่เริ่มเปื้อนไปตามคราบยิ้มบนใบหน้าของพ่อ
“ได้สิ เพราะเทพเจ้าของพวกเราทรงมีพระเมตตาจึงดลบันดาลให้ชายโง่คนนั้นได้ในสิ่งที่เขาต้องการ และสิ่งเดียวที่เขาได้จากเทพเจ้าเดร์แอมคือฐานะทางบ้านที่ยากจนลง ทำไมเขาถึงต้องคิดอะไรมากมายด้วยนะ ทำไมนะเขาถึงต้องยอมแลกความสะดวกสบายกับเรื่องราวไร้สาระแบบนั้น ก็แค่ใช้ชีวิตของเขาไปวันๆ อยู่กับความมั่งคั่งของตัวเอง เขาโง่ถึงขนาดยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้สักอย่างเดียวที่เทพเจ้าเดร์แอมมีปัญญามอบให้แค่นั้น... ตำนานนี้แหล่ะที่ทำให้พวกคิดมากคนอื่นๆ พากันหลงเชื่อ และก่อการปฏิวัติและกลายพันธุ์กลายมาเป็นพวกเออาร์ทีที่สร้างความวุ่นวายให้กับพวกเราทุกวันนี้” ผมนั่งมองดูพ่อถอนหายใจเสียเนิ่นนาน

ตามความเชื่อของ "เลียน" ชายใดที่มีอายุได้ ๒ ปีสี จะต้องถวายตัวเข้ารับใช้เป็นนักประพฤติและแสวงหา ประจำหน่วยงาน เพื่อสานต่อภาระหน้าที่หลักของหน่วยงาน รวมถึงแสวงหาหนทางในการกำจัดเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่จ้องจะรุกราน ด้วยความกระหายที่จะมีชีวิตแตกต่างจากพวกเราเหล่ามนุษย์
และวันนี้ผมก็มีอายุอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามครรลองของดาวดวงนี้...

“มนุษย์กับเออาร์ทีต่างกันตรงไหนนะครับพ่อ?” ผมถามพ่อถึงรูปลักษณ์ของพวกกลายพันธุ์ ผมไม่เคยคาดเดาเอาเองได้เลยว่าสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์ไปจากพวกเราที่เดินผ่านไปผ่านมาให้เห็นอย่างในปัจจุบันนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร? มีหงอนโผล่ขึ้นมาตรงกลางหัว? หรือจะมีลำตัวเป็นเปลือกแข็ง?
“พ่อเล่าให้ฟังว่า ปู่เล่าให้ฟังว่า พ่อของปู่เล่าให้ฟังว่า บรรพบุรุษเล่าให้ฟังว่า... สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์พวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเราจนแทบจะแยกด้วยตาเปล่าไม่ออก แต่หากจะสังเกตดีๆ เราจะพบว่าพวกเขาจะยืดหลังตรงกว่าเราเล็กน้อย และรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์คล้ายเด็กอยู่ตลอดชีวิตแม้หนวดเคราจะขาวครึ้ม และที่สำคัญขนาดของหัวใจพวกนั้นจะโตกว่าเราหลายเท่า” ฟังดูน่ารังเกียจจนคิดภาพตามไม่ไหว แต่ทุกคนก็ยังยืนยันว่ายังไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาพวกมันชัดๆ เสียที ทุกคนรู้มาจากการบอกเล่าต่อกันมา แม้ว่าหน้าที่ภาระของผมในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากผมกลับมาจากการรายงานตัว สิ่งถัดมาที่ต้องกระทำก็คือ ทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าเป็นผู้ประพฤติและแสวงหา ซึ่งพวกเราทุกคนจำเป็นต้อง อ่าน โดยการรับประทานผลคู่มือชีวิต ซึ่งคุณพ่อเด็ดมาจากต้นตระกูล ที่ปลูกไว้โตและสูงใหญ่กิ่งก้านแผ่ครึ้มไปทั่วตรงบริเวณหน้าบ้านของทุกบ้าน และมอบให้กับผมเรียบร้อยแล้ว ต้นตระกูลจะให้กำเนิดผลคู่มือนี้ชั่วอายุมนุษย์ละ ๑ ครั้ง... และแปลกประหลาดที่จำนวนของผลคู่มือจะเท่ากับจำนวนของบุตรหลานในแต่ละบ้าน... อาจจะเป็นเพราะความลงตัวอันน่าประหลาดนี้ที่ทำให้ทุกคนบนโลกยอมรับนับถือธรรมเนียมปฏิบัตินี้อย่างขึ้นใจ

ผลคู่มือจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทให้ผู้ที่รับประทานเกิดภาพจำถึงสิ่งที่จะต้องทำสำหรับชั่วอายุมนุษย์นั้นๆ สำหรับตัวผม ตั้งแต่เกิด จนตาย และสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือมีความคิดเห็นขัดแย้งได้

“มันอาจจะยากที่จะเข้าใจ และยอมรับในวิถีชีวิตของพวกเรา แต่ลูกจะต้องเติบโตขึ้น และเป็นมนุษย์ที่ดีได้แน่ๆ” พ่อกล่าวกับผม
“ครับพ่อ ผมมั่นใจว่า ถ้าผลคู่มือทำให้ผมรู้ว่าชีวิตคืออะไร เราก็ควรจะว่าไปตามนั้นครับ ในเมื่อเผ่าพันธุ์ของเราสืบต่อวิถีชีวิตอย่างนี้มาได้หลายปีสี เท่านี้ก็น่าจะบอกอะไรๆ ได้แล้วว่า สิ่งที่กำลังเป็นอยู่มันถูกต้องที่สุดแล้ว”
“ฟังดูดี... ยกเว้นก็แต่ยังมีพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่ต่อต้าน” พ่อรำพึงกับตัวเองแล้วเดินเลี่ยงจากไป

หลังจากเที่ยงวันไปไม่นาน ผมก็เริ่มจดจำเนื้อหาสาระของสิ่งที่ผลคู่มือเกิดจินตภาพขึ้นกับผม ผมสามารถรับรู้การใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือของผมได้จนถึงวันสุดท้ายที่ผมจะมีชีวิต วันนี้แสงดาวอาทิตย์ขาวนวลสาดส่องตั้งฉากกับดาวโลกพอดี จนทำให้วันนี้เป็นวันที่สว่างที่สุดตามที่กรมโหรได้พยากรณ์เอาไว้ ผมปล่อยตัวเองไว้ที่โต๊ะตัวเดิม นั่งมองต้นตระกูลกำลังผลิช่อ เพื่อผลิตผลคู่มือเล่มเล็กๆ หนังสือคู่มือที่จะเติบโตเต็มที่พอดีสำหรับชั่วอายุมนุษย์ต่อจากนี้

ตลอดปีสีที่ผ่านมานี้ หลายครั้งที่ผมเคยรู้สึกอึดอัด กับเส้นทางชีวิต ที่พ่อมักจะพูดให้ผมฟังอยู่เสมอก่อนที่ผมจะมาได้รับรู้จากมันจริงๆ ผมเคยคิดว่า ทำไมเราต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางที่ทุกอย่างขีดเขียนไว้แล้ว มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ มันจะทำให้ชีวิต ๑๒ ปีสีของผมซีดจางลงไปหรือไม่ ผมเคยเบื่อกับกฎระเบียบรุงรังของบ้านนี้เมืองนี้ แต่พ่อก็คอยปลอบผมทุกครั้งที่ผมมีอาการเสี่ยง พวกมนุษย์เรียกความคิดขัดแย้งแบบนี้ว่า “อาการเสี่ยง” หลายมนุษย์มักจะพร่ำบอกกับผมว่า ผมจะเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างเองหลังจากได้อ่านหนังสือคู่มือเล่มนี้จนครบ เมื่อไรก็ตามที่ผมมีเสถียรภาพในการจดจำ และเชื่ออย่างไม่มีข้อแม้ได้ เมื่อไรก็ตามที่ “ต่อมสังคม” ภายในร่างกายของผมโตพอ อาการเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปในที่สุด

และวันนี้ผมก็รับรู้ทุกอย่างแล้ว ผมพร้อมที่จะจดจำ และเชื่อ ผมเข้าใจทุกอย่างหมดจดแล้ว บ่อยครั้งผมก็อดนึกขำไม่ได้ที่เห็นเด็กมนุษย์ตัวเล็กๆ หลายคนบ่นอิดออดกับความเป็นตัวตนของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงผมในตอนเด็ก และอดไม่ได้ที่จะละอายใจเมื่อครั้งเคยคิดต่อต้าน...

อีกไม่กี่วันแล้วที่ภาระงานของผู้ประพฤติและแสวงหาในหน่วยงานเลียนจะมาถึง ผมรู้สึกพร้อมที่ จะเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ที่เลอเลิศที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ เลอเลิศกว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์เออาร์ทีเหล่านั้นหลายเท่านัก... เวลาผ่านไปจนดาวอาทิตย์คล้อยต่ำ ผลคู่มือที่ถูกกัดจนเนื้อหมดลงแล้วนอนทิ้งตัวอยู่ในถังขยะข้างๆ โต๊ะ ห้องของคุณพ่อหรี่เสียงลงในเวลาเดียวกับที่ไฟตามจุดต่างๆ ของเมืองเริ่มหรี่แสง และดับลงในที่สุด ชาวบ้านแต่ละคนเริ่มทยอยกันเดินเข้าตัวบ้าน ทิ้งไว้เพียงท้องถนนเงียบร้าง ต้นตระกูลใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสะบัดไหวตามสายลม และจุดประสงค์ของมันที่คงจะเริ่มวงจรใหม่เมื่อช่วงชีวิตของลูกหลานในรุ่นถัดไปใหม่มาถึงโลกของเราดวงเดิม เปลี่ยนเพียงแขกผู้มาเยือน ความมืด... ความสว่าง... ความวุ่นวาย... ความสงบ... และความทรงจำ...

ผมโยนผลคู่มือทิ้งลงในถังขยะ แล้วหัวเราะ...


-: หลงรักดวงดาว :-

Starry Night over the Rhone 1888 by Vincent van Gogh



คุณเคยหลงรักดวงดาวไหม?
อาจจะสวยงาม แต่ก็อยู่แสนไกลเกินเอื้อมมือถึง
อยากจะตะโกนชื่นชม บอกถึงความรู้สึกดีๆ และความห่วงใย แต่ระยะทางก็แสนไกลจนเสียงเหล่านั้นตกค้างอยู่กลางอวกาศ

ใครหลายคนอาจกล่าวกระตุ้นเราว่า เราก็ต้องกระโดด และไขว้คว้าไปให้ถึงสิ!
แต่ถ้าเราหาญกล้าเดินทางข้ามขอบฟ้าหลายปีแสงไปจนพบดวงดาวที่เฝ้ามองอยู่ทุกวัน ดวงดาวกลับสร้างชั้นบรรยากาศปิดกั้นเราไว้ เมื่อเข้าไปสู่ 'ใจ' กลางของดวงดาวไม่ได้ เราจะยังเหลือเรี่ยวแรงเดินทางกลับมายังโลกที่เราอาศัยอยู่ได้อีกหรือไม่?

แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ดวงดาวจะยังคงส่องแสงพราวอยู่อย่างนั้นจนเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกทั้งหมดของเราก็จะลอยฟุ้งหายไปกับสายลม ดวงดาวคงไม่จดจำว่าเคยมีคนๆ หนึ่งเฝ้ามอง สำหรับดวงดาวแล้ว เราอาจไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน...

ค่ำคืนใกล้คล้อยลับขอบฟ้าแล้ว แสงของดวงดาวเริ่มเลือนหายไปจากท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดสายตา
จนเมื่อรุ่งเช้ามาถึง... เราอาจจะตื่นจากความจริงขึ้นมาพบกับความฝันก็เป็นได้

-: This is not romantic article :-

Painting by Beth Reitmeyer
“อย่าไปเที่ยวค้นหาคำอธิบาย เหตุผล หรือตรรกะใดๆ อย่าไปกังวลไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิด และอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แค่เพียงกล้าที่จะรัก และรักษาความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้อยู่กับหัวใจของคนทั้งสองให้ได้ตลอดไป”


“Immature love says: "I love you because I need you."
Mature love says: "I need you because I love you."”
Erich Pinchas Fromm (March 23, 1900 – March 18, 1980) นักปรัชญามนุษย์ และนักจิตวิทยา


อาจเป็นสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิตที่บุคคล 2 คนได้มาพบกัน หลายคนอาจเคยฝันไปว่าวันหนึ่งจะได้พบกับครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เฝ้าตามหามานานแสนนาน ครั้งหนึ่งผมเคยสงสัยว่า “คนเรารู้จักเพื่อนมนุษย์ได้น้อยจนน่าใจหาย หากชีวิตนี้ผมเริ่มต้นระดับการศึกษาที่ระดับประถม - 6 ปีที่ผมอาจจะรู้จักผู้คนได้ มากที่สุดไม่น่าจะเกิน 50 คน แน่นอนถึงขนาดเผื่อแผ่ความสนิทสนมได้นั้น ไม่น่าจะเกิน 10 คน ...ต่อมาในช่วงชีวิตระดับมัธยมศึกษา ผมอาจจะได้รู้จักสังคมที่กว้างขวางขึ้น เพื่อนจากหลายโรงเรียนเริ่มเข้ามาวนเวียนในชีวิตของผม ในช่วงเริ่มแรกของการเป็นวัยรุ่นที่ผมตั้งใจจะทำความรู้จักกับความรัก และกอบโกยมิตรภาพ ในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับชีวิตมากมายนัก ผมกลับที่จะได้รู้จักคนเพิ่มอีกไม่น่าจะเกิน 200 คนภายในระยะเวลา 6 ปี และเช่นกันเพื่อนสนิทเคียงกายก็คงยังเข้ามาในชีวิตได้ไม่เกิน 30 คน!! แล้วหลังจากนั้นเล่าอีกประมาณ 4 ปีกับชีวิตการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ ภาวะสังคมแปลกตาคงเข้ามาทำให้ระคายความรู้สึกของใครๆ ไม่น้อย และผมก็คงเช่นกัน ผมอาจจะพบว่าช่วงนี้ไล่ไปยันช่วงผู้ใหญ่ เราอาจได้พบปะกับผู้คนมากขึ้น แต่แสนเศร้า ผมกลับที่จะสนิทสนมกับพวกเขาน้อยลง...”

เราอาจจะกำลังเสียเพื่อนที่เข้าใจ และน่าจะพูดคุยถูกคอกับเรามากที่สุดไป เพียงเพราะเขาอาศัยอยู่ในประเทศหมู่เกาะฟาโรที่เราไม่เคยได้มีโอกาสได้ไปเหยียบย่างที่นั่น หรือเราไม่สามารถพูดภาษาถิ่นกับเขาได้ เราอาจจะกำลังสูญเสียคนที่เรารักอย่างสุดซึ้ง ยิ่งกว่าใครๆ ที่เคยมอบหัวใจและทุ่มเทคำว่ารักให้มาก่อน ซึ่งถ้าหากได้ลองมาพบปะพูดคุย หรือร่วมหนทางแห่งความรักกันแม้ชั่วเวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่กลับรู้สึกเหมือนได้พบเจอกันมาแล้วชั่วนิรันดร์ ความรักของคน 2 คนนี้อาจจะสั่นโลกให้ไหวเคลื่อน แต่เราอาจสูญเสียเขาหรือเธอไปเพียงเพราะชีวิตนี้คนสองคนไม่เคยมีโอกาสได้พบกัน โอกาสที่คนเราจะได้พบกับผู้คนนอกเหนือระบบวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์เราช่างน้อยเหลือเกิน...

อัลแบร์ กามูส์ นักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยกล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์จะมีความสุขถ้าอยู่ภายใต้องค์ประกอบ 4 อย่างนั่นคือ ได้อยู่ในที่อากาศโล่งโปร่ง ได้ทำงานสร้างสรรค์ หลุดพ้นจากความทะเยอทะยาน และได้รักใครสักคน ซึ่งถ้ากามูส์ไม่นั่งเทียนสร้างเรื่องนี้ขึ้น เราจะพบได้เลยว่า องค์ประกอบทั้ง 4 ข้อนั้นหาได้ยากยิ่งในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างเร่งรีบเย่อหยิ่งและทะเยอทะยาน นั่งทำงานภายในออฟฟิตแคบอึดอัด งานหลายประเภทที่มิได้เพียงแต่ไม่สร้างสรรค์ แต่ยังแช่แข็งความสร้างสรรค์ให้อยู่ร่วมกับความแปลกแยกอันร้ายกาจในตู้แช่ช่องเดียวกัน และที่สำคัญเราแทบจะไม่มีคนให้รัก หรือดูแลความรักที่มีกันได้ไม่ดีนัก เพียงเพราะคิดกังวลอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง…

คุณตาผู้หนึ่งซึ่งได้ล่วงผ่านอนาคตของท่านเองเกือบทั้งชีวิตมาแล้วกล่าวให้ผมฟังว่า “เมื่อใดก็ตามที่คิดว่าได้พบกับอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่แสนวิเศษแล้ว ความรักที่ไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากได้รัก... อย่าไปเที่ยวค้นหาคำอธิบาย เหตุผล หรือตรรกะใดๆ อย่าไปกังวลไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิด และอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ - แค่เพียงกล้าที่จะรัก และรักษาความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้อยู่กับหัวใจของคนทั้งสองให้ได้ตลอดไป แล้วเมื่อไรที่หลานพบกับคนๆ นั้น หลานจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”

ความรักที่ไม่สมบูรณ์กล่าวว่า “ฉันรักเธอเพราะฉันต้องการเธอ”
ความรักที่สมบูรณ์กล่าวว่า “ฉันต้องการเธอ เพราะฉัน... รักเธอ
วันนี้ผมคิดว่าผมรู้สึกได้แล้ว... คุณเองรู้สึกเหมือนกันไหม?