11 January 2008

-: Coffee & Tea, Me & You :-

-: Coffee & Tea, Me & You :-

“เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ”


5 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2550 วันเสาร์ซึ่งไร้ซึ่งสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสัญลักษณ์ของโลก (เคยสงสัยไหมว่าทำไมต้องเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำไมสุดสัปดาห์ไม่เป็นวันจันทร์-อังคาร อังคาร-พุธ พุธ-พฤหัสบดี หรือพฤหัสบดี-ศุกร์) วันหยุดที่คนจะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายออกไปนอกแห่งกรอบวิถีเงินเดือน หยุดเพื่อขยับไปตามความต้องการของตนเองจริงๆ

ผมนั่งห้อยขาอยู่หน้าร้าน ‘เล่า’ บนถนนนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่อยู่กับผู้หญิงคนรักข้างกาย ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นถนนเส้นสนุกเส้นหนึ่งที่ไม่เคยหลับใหลแม้เวลาจะผ่านไปสักสามสิบชาติเศษแล้ว เวลาในขณะนี้มืดครึ้ม และใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที แต่การตื่นขยับจากหลับใหลของถนนเส้นนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากถนนโลกีย์หลายสายในมหานคร และในประเทศไทย เพียงเพราะถนนเส้นนี้ตื่นขยับด้วยแรงเขย่าของศิลปะ และจากไอสดชื่นของกลิ่นความสุข มิใช่ตื่นจากการเขย่าของขวดเหล้าและเต้านม

ผู้หญิงข้างกายนั่งเอนพิงและอ่าน ‘มาทิลดา นักอ่านสุดวิเศษ’ หนังสือของนักเขียนนามอุโฆษ ‘โรอัลด์ ดาห์ล’ ในขณะนั่งจิบชา English Breakfast อันมีกลิ่นหอมละมุนและรสอุ่นละไม ดาห์ลวางแผนเขียนหนังสือเล่มนี้ยาวนานถึง 20 ปี เพื่อจะบอกเล่าถึงเด็กหญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งที่พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุเพียงขวบครึ่ง และสอนให้ตัวเองอ่านหนังสือมาตั้งแต่สี่ขวบเนื่องจากไม่เคยมีใครสนับสนุนให้เธออ่านหนังสืออย่างจริงจังเลย ผมชายตาไปมองเห็นบางข้อความในหนังสือแล้วทำให้อดชายตาไปมองบางหน้ากระดาษของหนังสือที่จั่วหัวตัวใหญ่ว่า ‘ประเทศไทย’ ไม่ได้

“พ่อคะพ่อซื้อหนังสือให้หนูซักเล่มได้ไหมคะ” เธอพูด
“หนังสืออะไรกันละ—อยากได้หนังสือบ้าๆ ไปทำไม” พ่อย้อนถาม
“เอาไว้อ่านสิคะพ่อ”
“ให้ตายเถอะ! ดูทีวีมันเสียหายตรงไหน เรามีทีวีจอกว้าง ขนาดสิบสองนิ้วอย่างดี ยังจะขอหนังสืออีก แกมันถูกตามใจมากไปหน่อยแล้วนังหนู!”


ผมสะดุ้งเสีย 2 ครั้ง เมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาแบบนี้อาจจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยปัจจุบัน แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นทีวีจอกว้างสัก 52 นิ้ว และไม่แน่อีกไม่นาน บทสนทนาเหล่านี้อาจจะยังคงซ้ำเดิม มีเพียงแต่จอทีวีเท่านั้นที่กว้างใหญ่ไพศาลขึ้น...

โรอัลด์ ดาห์ล มีเชื้อสายนอร์เวย์ เกิดที่แคว้นเวลล์ ในเครือจักรภพอังกฤษ หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเมื่ออายุ 18 ปี ดาห์ลก็เข้าสมัครทำงานกับบริษัทเซลล์ในแอฟริกา จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองดาห์ลได้สมัครเป็นทหารของกองทัพอากาศอังกฤษ สงครามในครั้งนี้เองที่เกือบพรากเมทิลดาไปจากมนุษยชาติ เพราะดาห์ลประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกและได้รับบาดเจ็บสาหัส ครั้นสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ดาห์ลก็เข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยทูตทหารอากาศอังกฤษประจำกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา และจึงได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกจากการชักนำของนักเขียนชื่อดังคือ ซี เอส. ฟอร์เรสเตอร์ เพียงเรื่องแรกก็ได้รับการตอบรับจากนักอ่านอย่างดียิ่ง

เมื่ออายุมากขึ้นโรอัลด์ ดาห์ล จึงเริ่มหันมาเขียนวรรณกรรมเยาวชน ปรากฏว่างานเหล่านั้นกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านวัยเยาว์ทั้งหลาย จนอาจกล่าวได้ว่า ‘ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางทุกประเทศทั่วโลก และประเทศที่มีการแปลหนังสือจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาของตน แทบจะไม่มีชาติใดในจำนวนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักชื่อของ โรอัลด์ ดาห์ล’

ผมปิดหนังสือของผมที่อ่านค้างอยู่ในมือลงเมื่อกาแฟคาปูชิโน่ร้อนถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้า หนังสือรวมเรื่องสั้นของฮารูกิ มุราคามิ ที่ผมอ่านอยู่อาจจะไม่สดใสคู่ควรกับบรรยากาศอ่อนโยนและลมที่กำลังพัดเย็นสบายในยามนี้ ผู้หญิงข้างกายหันมาส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้ แตะมือสัมผัสอ่อนนุ่มที่ข้างแก้ว ก่อนจะเปรยขึ้นว่าลมหนาวทำให้กาแฟร้อนจัดในถ้วยอุ่นพอดีให้ดื่มได้เลยทีเดียว เราส่งยิ้มให้กันและกัน แม้ค่ำคืนจะส่งแสงมืดทำลายความคมชัดของรอยยิ้มนั้นลงไปบ้าง

ผมและเธอสูดอากาศสดชื่นของถนนสายศิลปะเข้าเต็มปอดอีกครั้ง เธออ่านเมทิลดาที่เหลือค้างเล่มในขณะที่ผมระบายลมหายใจอีกห้วงทิ้งไปกับสายลมหนาว แล้วเริ่มต้นอ่านบรรยากาศดีๆ เก็บไว้ในความทรงจำ เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ แต่แค่มีคนที่รักและเข้าใจนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เท่านี้ก็ทำให้หัวใจอุ่นได้แล้ว บางครั้งความอบอุ่นก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลสักเท่าไร ผมคิดว่าเมทิลดาเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน

3 comments:

Anonymous said...

อืม เขียนขึ้นจากเรื่องจริงของผู้เขียน ตอนไปเชียงใหม่ช่วง ธค. กับเธอคนที่อ่าน มาทิลดาฯ ซึ่งเป็นหวานใจตัวจริงของคนเขียนเลยใช่ไหมเนี่ย อิอิ

Anonymous said...

ชอบภาพประกอบ สวยดี
ถ้าเป็นเราจะไม่ใช่ Coffee & tea
แต่เป็น Coffee & Coffee
...ความอบอุ่นคงไม่คล้ายกัน แต่สามารถสัมผัสได้

Na-pongs Varunyanont said...

พี่โอ๊ต
เรื่องจริงครับ ยังคิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่เลย เพราะช่วงเวลาที่เรามีความสุข เวลาจะเหมือนหยุดอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็ไขว้คว้าเอากลับมาไม่ได้ เหลือแต่เพียงสิ่งที่เรียกว่า 'ความทรงจำ'

Hong
ชอบภาพประกอบเช่นเดียวกัน พยายามหาที่มาเพื่อให้เครดิต แต่หาไม่ได้ เอาเป็นเวลาไม่ว่าภาพนี้จะวาดขึ้นโดยใคร คุณทำให้ผมมีความสุขที่ได้เห็นภาพนี้ละกันนะครับ

สำหรับ Coffee & Tea คำนี้เป็นคำที่เธอคนนั้นคิดขึ้นมา เราเอามาใช้เพราะความชอบโดยไม่รู้เธอจะยินยอมไหม เราว่าถ้าจะให้เปรียบเทียบ เรากับผู้หญิงคนนั้นคงเป็นเครื่องดื่มที่ให้รสชาติที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นเครื่องดื่มอุ่นๆ เหมือนกัน

พูดถึงความแตกต่าง มีคนเคยบอกว่าผู้ชายแบบเราเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงชอบ แต่ไม่มีผู้หญิงรัก ไม่รู้ว่าผิดถูกอย่างไร คงจะดีถ้าผู้ชายแบบนี้จะมีคนรักและเข้าใจเขาตลอดไป

P.S.
1. แด่... ผู้ชายอ่อนไหว คิดมาก และโรแมนติกเกินไปทุกคน
2. แด่... นักอ่านที่แสดงตัวทั้งสองคน ผมยอมรับว่านักเขียนยังคงอยากจะเขียน ก็เพราะมีคนอ่านงานของเขา และบอกกล่าวแลกเปลี่ยนเช่นนี้