-: Coffee & Tea, Me & You :-
“เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ”
5 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2550 วันเสาร์ซึ่งไร้ซึ่งสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสัญลักษณ์ของโลก (เคยสงสัยไหมว่าทำไมต้องเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำไมสุดสัปดาห์ไม่เป็นวันจันทร์-อังคาร อังคาร-พุธ พุธ-พฤหัสบดี หรือพฤหัสบดี-ศุกร์) วันหยุดที่คนจะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายออกไปนอกแห่งกรอบวิถีเงินเดือน หยุดเพื่อขยับไปตามความต้องการของตนเองจริงๆ
ผมนั่งห้อยขาอยู่หน้าร้าน ‘เล่า’ บนถนนนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่อยู่กับผู้หญิงคนรักข้างกาย ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นถนนเส้นสนุกเส้นหนึ่งที่ไม่เคยหลับใหลแม้เวลาจะผ่านไปสักสามสิบชาติเศษแล้ว เวลาในขณะนี้มืดครึ้ม และใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที แต่การตื่นขยับจากหลับใหลของถนนเส้นนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากถนนโลกีย์หลายสายในมหานคร และในประเทศไทย เพียงเพราะถนนเส้นนี้ตื่นขยับด้วยแรงเขย่าของศิลปะ และจากไอสดชื่นของกลิ่นความสุข มิใช่ตื่นจากการเขย่าของขวดเหล้าและเต้านม
ผู้หญิงข้างกายนั่งเอนพิงและอ่าน ‘มาทิลดา นักอ่านสุดวิเศษ’ หนังสือของนักเขียนนามอุโฆษ ‘โรอัลด์ ดาห์ล’ ในขณะนั่งจิบชา English Breakfast อันมีกลิ่นหอมละมุนและรสอุ่นละไม ดาห์ลวางแผนเขียนหนังสือเล่มนี้ยาวนานถึง 20 ปี เพื่อจะบอกเล่าถึงเด็กหญิงมหัศจรรย์คนหนึ่งที่พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุเพียงขวบครึ่ง และสอนให้ตัวเองอ่านหนังสือมาตั้งแต่สี่ขวบเนื่องจากไม่เคยมีใครสนับสนุนให้เธออ่านหนังสืออย่างจริงจังเลย ผมชายตาไปมองเห็นบางข้อความในหนังสือแล้วทำให้อดชายตาไปมองบางหน้ากระดาษของหนังสือที่จั่วหัวตัวใหญ่ว่า ‘ประเทศไทย’ ไม่ได้
“พ่อคะพ่อซื้อหนังสือให้หนูซักเล่มได้ไหมคะ” เธอพูด
“หนังสืออะไรกันละ—อยากได้หนังสือบ้าๆ ไปทำไม” พ่อย้อนถาม
“เอาไว้อ่านสิคะพ่อ”
“ให้ตายเถอะ! ดูทีวีมันเสียหายตรงไหน เรามีทีวีจอกว้าง ขนาดสิบสองนิ้วอย่างดี ยังจะขอหนังสืออีก แกมันถูกตามใจมากไปหน่อยแล้วนังหนู!”
ผมสะดุ้งเสีย 2 ครั้ง เมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาแบบนี้อาจจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยปัจจุบัน แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นทีวีจอกว้างสัก 52 นิ้ว และไม่แน่อีกไม่นาน บทสนทนาเหล่านี้อาจจะยังคงซ้ำเดิม มีเพียงแต่จอทีวีเท่านั้นที่กว้างใหญ่ไพศาลขึ้น...
โรอัลด์ ดาห์ล มีเชื้อสายนอร์เวย์ เกิดที่แคว้นเวลล์ ในเครือจักรภพอังกฤษ หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเมื่ออายุ 18 ปี ดาห์ลก็เข้าสมัครทำงานกับบริษัทเซลล์ในแอฟริกา จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองดาห์ลได้สมัครเป็นทหารของกองทัพอากาศอังกฤษ สงครามในครั้งนี้เองที่เกือบพรากเมทิลดาไปจากมนุษยชาติ เพราะดาห์ลประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกและได้รับบาดเจ็บสาหัส ครั้นสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ดาห์ลก็เข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยทูตทหารอากาศอังกฤษประจำกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา และจึงได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกจากการชักนำของนักเขียนชื่อดังคือ ซี เอส. ฟอร์เรสเตอร์ เพียงเรื่องแรกก็ได้รับการตอบรับจากนักอ่านอย่างดียิ่ง
เมื่ออายุมากขึ้นโรอัลด์ ดาห์ล จึงเริ่มหันมาเขียนวรรณกรรมเยาวชน ปรากฏว่างานเหล่านั้นกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านวัยเยาว์ทั้งหลาย จนอาจกล่าวได้ว่า ‘ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางทุกประเทศทั่วโลก และประเทศที่มีการแปลหนังสือจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาของตน แทบจะไม่มีชาติใดในจำนวนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักชื่อของ โรอัลด์ ดาห์ล’
ผมปิดหนังสือของผมที่อ่านค้างอยู่ในมือลงเมื่อกาแฟคาปูชิโน่ร้อนถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้า หนังสือรวมเรื่องสั้นของฮารูกิ มุราคามิ ที่ผมอ่านอยู่อาจจะไม่สดใสคู่ควรกับบรรยากาศอ่อนโยนและลมที่กำลังพัดเย็นสบายในยามนี้ ผู้หญิงข้างกายหันมาส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้ แตะมือสัมผัสอ่อนนุ่มที่ข้างแก้ว ก่อนจะเปรยขึ้นว่าลมหนาวทำให้กาแฟร้อนจัดในถ้วยอุ่นพอดีให้ดื่มได้เลยทีเดียว เราส่งยิ้มให้กันและกัน แม้ค่ำคืนจะส่งแสงมืดทำลายความคมชัดของรอยยิ้มนั้นลงไปบ้าง
ผมและเธอสูดอากาศสดชื่นของถนนสายศิลปะเข้าเต็มปอดอีกครั้ง เธออ่านเมทิลดาที่เหลือค้างเล่มในขณะที่ผมระบายลมหายใจอีกห้วงทิ้งไปกับสายลมหนาว แล้วเริ่มต้นอ่านบรรยากาศดีๆ เก็บไว้ในความทรงจำ เธอผละมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่ผมก็กำลังจิบกาแฟ ผมชอบชั่วขณะแบบนี้แม้ว่าเวลาจะไม่เคยหยุดนิ่งให้มองได้นานเท่าที่เราต้องการ แต่แค่มีคนที่รักและเข้าใจนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เท่านี้ก็ทำให้หัวใจอุ่นได้แล้ว
บางครั้งความอบอุ่นก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับฤดูกาลสักเท่าไร ผมคิดว่าเมทิลดาเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน