6 November 2006

-: หัวลำโพงสะเตชั่น :-

หัวลำโพงสะเตชั่น

“ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง”

๖ โมงเย็นวันศุกร์ หลังจากเลิกงานภายในออฟฟิตหรูย่านสีลม ผมเดินลงจากตึกด้วยบันไดจากชั้นที่ ๑๖ ผมเลี่ยงที่จะใช้งานลิฟต์ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ เพราะผมอดที่จะแอบยิ้มใส่ใครๆ ไม่ได้ และก็อดที่จะแอบเห็นใครๆ หลายคน อมยิ้มอย่างผมในวันนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ และนั่นก็หมายถึงผมจะได้อยู่กับวันหยุดสบายๆ ของโลกใบนี้ได้ตั้ง ๒ วันหลังจากวันนี้ และผมจะได้เริ่มทำอะไรๆ ตามที่ผมตั้งใจไว้ต่อจากศุกร์ที่แล้วได้อีกครั้ง ผมมีความศุกร์กับชีวิตของผมจริงๆ ศุกร์จริงๆ...

เย็นวันศุกร์แบบนี้ใครหลายๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ในชีวิตวุ่นวาย ทำงานอยู่ภายในตึกใหญ่ๆ สูงๆ หรืออาจจะไม่ใหญ่ ไม่สูง แต่ก็เป็นที่ทำงานที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อย่างน้อยอาทิตย์ละ ๕ วัน หลายคนก็คงรู้สึกเบื่อๆ คนอีกจำนวนหนึ่งอาจรู้สึกคุ้นเคยกับวันธรรมดาแบบนี้ แต่สำหรับผม ผมเห็นการเริ่มต้นในชีวิตของผมเอง ชีวิตที่ผมเลือกเองได้หลังจากต้องเบียดตัวนั่งอยู่โต๊ะทำงานขนาด ๑.๕ คูณ ๑ เมตร ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันนี้ผมนั่งรถเลยบ้านมาถึงสถานที่ที่ผมยกย่องด้วยตัวเองว่า เป็นอนุสาวรีย์แห่งการเดินทาง ที่หัวลำโพงสะเตชั่น ของผมนี่เอง ผมว่าใครหลายๆ คนก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมมากนัก ว่าที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทาง หรือเป็นจุดจบสิ้นของความรู้สึกสนุกสนานที่อบอวลอยู่ในหัวใจของการสิ้นสุดการเดินทางในครั้งนั้นๆ หัวลำโพงสะเตชั่นของพวกเราทุกคนบรรจุความรู้สึกแบบนี้ไว้ทั้งหมด และบรรจุไว้แบบเต็มๆ ถ้าใครอยากได้รับความรู้สึกนี้ ไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตผู้ดูแลหัวลำโพงสะเตชั่นเข้าไปเก็บเอาชิ้นส่วนของความรู้สึกที่บริเวณใต้ฐานของอนุสาวรีย์ ความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกสลักไว้รอบๆ ผนัง ให้คนเข้าไปอ่านชื่อผู้ที่เคยท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ อย่างอนุสาวรีย์ ๑๔ ตุลาคม ไม่ต้องมีพาน ๒ ใบวางซ้อนกันสำหรับใส่แผนที่วางไว้ที่ยอดอย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ต้องมีคนสะพายกระเป๋า และถือกล้องยืนอยู่รอบๆ สิ่งก่อสร้างยอดแหลมสูงอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะนั่งรถเลยไปที่ไหน หรือตั้งใจที่จะเดินทางไปยังต่างจังหวัด แต่พอดีวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ วันศุกร์ที่ผมตั้งใจมาตลอดว่าสักวันผมจะต้องมาหยุดอยู่ที่นี่ หยุดเพื่อออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ผมต้องการจะไป แม้วันนี้ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมามากมายนัก แต่หัวใจของผมก็พามาที่นี่จนได้

ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง ซึ่งผมก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าโลกในระบบทุนนิยมขั้นรุนแรงอย่างปัจจุบันนี้ ผมก็แทบจะถอนตัวไม่ขึ้นกับการที่ต้องบูชาปัจจัยที่ ๕ หรือเงินของพวกเขาเหล่านั้น
ผมพาตัวเอง มานั่งอยู่ภายในบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น เพลงจากเครื่องเล่นที่เสียบอยู่ที่หู ผสมกับภาพของการเตรียมตัวเดินทาง การเตรียมตัวกลับบ้าน การพบ การจาก ช่วยเร่งความรู้สึกที่อยากจะปลดปล่อยไอ้ก้อนหนักๆ ที่อยู่ที่หัว ที่ผมสะสมมาตลอดการเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน และตลอดการทำงานของผมทั้งสัปดาห์ ให้หลุดลอยออกไปจากตัวของผมเสียที

ผมตัดสินใจเดินไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ ตั้งใจจะนั่งรถไฟเล่น ไปยังที่ไหนก็ได้บนประเทศผืนนี้ ไกลจากความเจริญที่หน่วงความรู้สึกอิสระ ไปจากความร่ำรวยที่กดทับความมีน้ำใจ ไปจากการทำงานภายในที่ทำงาน ที่เป็นเส้นตรงตลอดการใช้ชีวิตภายในวันหนึ่งๆ

ผมเคยคิดที่จะเขียนไดอารี่เพื่อบันทึกชีวิตประจำวันของผมไว้อ่านเล่นในยามที่ผมตกงาน หรือสังคมใบนี้อาจจะไม่ต้องการคนอย่างผมแล้ว ไดอารี่ทุกหน้าเหมือนจะถูกคัดลอกกันมา

เริ่มต้นตั้งแต่การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน การทำงานในช่วงเช้า การพักเที่ยง การทำงานต่อในช่วงบ่าย การเลิกงาน การนั่งรถกลับบ้าน การกลับถึงบ้าน การอาบน้ำ การกินข้าว การนอนหลับพักผ่อน

การตื่น การอาบน้ำ การกินข้าว การนั่งรถฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงาน .....
.....
....
...

เสียงเจ้าหน้าที่เรียกผมให้ตื่นจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ถึงคิวของผมแล้ว เสียงเจ้าหน้าที่กล่าวถามอย่างสุภาพว่าผมต้องการจะซื้อตั๋วเพื่อที่จะเดินทางไปที่ไหน ผมคิดทบทวนในใจครู่ใหญ่ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก เนื่องจากการทำงานที่แสนเหนื่อยล้ามาตลอดสัปดาห์ ใช่ครับ อย่างที่ผมบอกกับทุกคนไปแล้ว ผมมีงานที่ยังคั่งค้างวางกองอยู่เต็มโต๊ะทำงานที่บริษัท รวมไปถึงกองงานที่ผมนำกลับมาทำต่อ ที่บ้าน วันหยุดอาทิตย์นี้ผมคงไม่มีเวลาว่างมากพอเสียแล้ว

ในที่สุดผมก็กล่าวปฏิเสธที่จะซื้อตั๋ว และขอโทษที่ทำให้นักเดินทางผู้ใช้บริการรายอื่นๆ ต้องเสียเวลา ก้าวเดินออกจากบริเวณของหัวลำโพงสะเตชั่น รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อตอนเย็นของผมเริ่มจางไป ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมไม่มีเวลาพอที่จะยิ้มมากนัก ยังมีช่วงชีวิตของการทำงานรอผมอยู่ในวันหยุดที่จะถึงนี้

อาทิตย์หน้าผมจะออกเดินทางตามที่ผมตั้งใจอีกครั้ง ถ้าผมจะได้มีวันหยุดจริงๆ และถ้าไม่เหนื่อยจนอยากจะนอนพักอยู่ที่บ้านเสียก่อน ถ้างานของผมไม่มากนัก ถ้ารถไม่ติด ถ้าเงินเหลือ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ถ้า.....
ถ้ามนุษย์มีเงื่อนไขในการใช้ชีวิตน้อยกว่านี้...

หัวลำโพงสะเตชั่น..... ไว้วันศุกร์หน้า เราคงได้เจอกัน.....


3 comments:

wichstandup said...

ใครหลายคนเคยบอกผมว่าจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมแบบนี้ถ้าไม่มีเงิน ถ้าเรียกร้องแต่จะทำในสิ่งที่ตนเองรัก และปรารถนา โดยไม่คิดคำนึงถึงปากท้อง...

"ความคิดนี้มาจากใจนักเขียนเลยนะเนี๊ย"

Unknown said...

เรามักจะบอกว่าไม่มีเวลา

แต่พอเรามีเวลาเรากลับไม่มีแรงจะไปซะแล้ว...

Anonymous said...

แหม ลุ้นมาก ว่าจะไปที่ไหนน้า
น่า ศุกร์หน้าอาจจะมีลุ้นอีก
มันเหงาๆ เบื่อๆ แต่ชีวิตก็สวยงามดีนะ
อย่างน้อย สถานที่แห่งนี้ ก็ทำให้เราได้คิดอะไรนอกเหนือจากเรื่องราวในออฟฟิศบ้าง

เอาไว้จะมาลุ้นใหม่นะคะ
ว่าปลายทางอยู่ไหน :)