11 September 2008

-: สิ่งที่พวกเรารอคอย :-

“ฟลอเรนติโนเป็นตัวละครใน Love in the Time of Cholera นิยายชั้นเยี่ยมของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ จนกลายมาเป็นภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักผ่านมุมมองของไมค์ เนเวลล์ ซึ่งเคยมีผลงานดีๆ ผ่านมือมาแล้วหลายเรื่อง”


ไม่ต่างอะไรจากภาระทุกข์อันหนักอึ้งของชีวิตเช่นการเกิด แก่ เจ็บ และตาย อีก 2 สิ่งที่ชีวิตมนุษย์ต้องประสบพบเจอ คล้ายกับการที่เราต้องมองเห็นแสงสว่างในยามกลางวันและความมืดมิดของค่ำคืนนั่นก็คือ ความรัก และการรอคอย พนันกันได้เลยว่าไม่มีใครบนโลกที่จะหลีกหนีไปได้

แม้ว่าผมเองจะจดจำไม่ได้เสียแล้วว่าเคยเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าความรักขึ้นครั้งแรกเมื่อไร อาจจะเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน หรืออาจจะยาวนานกว่านั้นหลาย 10 ปี ไม่น่าแปลกที่ผมจะจำไม่ได้เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่น่าจดจำไปเสียหมดทุกเรื่อง สำหรับการรอคอยนะหรือ? ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าผมเป็นเพื่อนสนิทกับการรอคอย เท่าที่ผมจดจำได้ เราทั้งคู่ได้พบกันครั้งแรกในคืนฝนตกครั้งหนึ่ง คืนที่ดูปรกติเหมือนกับวันธรรมดาๆ ผู้คนเร่งร้อนหลบฝน ผู้ชายและผู้หญิงกางร่มวิ่งหนีออกไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ส่วนตัวผมกำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังในรถยนต์ของคุณพ่อรอคอยการกลับมาของท่านอย่างใจจดใจจ่อ เพียงเพื่อจะเอ่ยปากถามคำถามที่ไม่สำคัญสำหรับผู้ใหญ่เพียงคำถามเดียว

ก่อนหน้าการพบกันกับการรอคอย ในช่วงเวลาขณะนั้นผมมีความจำเป็นต้องไปพักอยู่กับคุณยายที่บ้านอีกหลังหนึ่ง หลังจากทำความรู้จักจนเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับบ้านแปลกหน้าหลังนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งสนามหญ้าสีเขียวพร้อมหลุมสำหรับเล่นดีดลูกแก้ว ห้องนอนน้อยๆ สีครีมอบอุ่น โทรทัศน์เครื่องเล็กดื้อรั้นที่มักจะแสดงภาพไม่ชัดเสียเลยในช่องที่ฉายการ์ตูนเรื่องโปรด มื้ออาหารที่เคยระคายสัมผัสรับรส ความเงียบเหงาที่แทงทะลุหัวใจในช่วงกลางวัน รวมไปถึงคุณยายที่มีอายุห่างกันนับปีไม่ถ้วน จนในหัวค่ำวันหนึ่งหลังจากที่ผมนอนหลับไปตามตารางเวลาของบ้านคนแก่ ไม่กี่วันหลังจากรอยยิ้มของผมเริ่มปรากฎบนใบหน้าและความผูกพันเริ่มโอบกอดผมอย่างนุ่มนวลเบามือแล้ว ผมกลับมารู้สึกตัวตื่นอยู่คนเดียวบนเบาะหลังรถยนต์ของคุณพ่อ สายฝนส่งท่วงทำนองไพเราะแต่เหมือนเล่นด้วยโน้ตและคีย์ที่เหงาที่สุดเมื่อตกลงมากระทบกับผิวรถ ความมืดหม่นของค่ำคืนคล้ายกับจะมาแย่งชิงเอาความรู้สึกดีๆ ของผมแล้วนำไปทิ้งในที่แสนไกล น้ำตาของผมไหลเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง สนามหญ้าและบ้านหลังเล็กนั่นเล่ามีใครเก็บใส่กระเป๋าของผมมาด้วยหรือไม่ยามเมื่อผมจากมาอย่างไม่ทันตั้งตัว คำร่ำลายังคงค้างอยู่ในลำคอ แห้งผากเสียจนไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ผมรอคอยอยู่ที่นั่น อย่างนั้นเนิ่นนาน รอคอยการกลับมาของชายคุ้นหน้าซึ่งแปลกหน้าที่สุดสำหรับสถานการณ์นี้ รอคอยจะโวยวายและยิงคำถามใส่อย่างไม่ใยดีว่า... คุณยายที่นอนข้างๆ ผมก่อนผมหลับไปเล่า ท่านอยู่ที่ไหน? คุณยายอยู่ที่ไหน?

ผมร้องไห้งอแงไม่หยุด คิดถึงคุณยายที่น่ารักสุดขั้วหัวใจ ผมร้องไห้ตามประสาเด็กไร้เดียงสา หากประโยคที่ว่า “น้ำตากลายเป็นสายเลือด” มีอยู่จริง ค่ำคืนนั้นผมก็คงจะได้เห็นกับตาตัวเอง และไม่นานนักผมก็ผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและเผลอกลืนคำถามหายลงคอไปจวบจนทุกวันนี้

การรอคอยบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักมักทรมาณหัวใจเสมอ...

เช่นเดียวกับการรอคอยคนรักของชายที่ชื่อฟลอเรนติโน อริซา (จาเวียร์ บาร์เด็ม) ชายที่บ้าคลั่งและน่าเห็นใจที่สุดเท่าที่มีใครเคยจดบันทึกไว้ ฟลอเรนติโนเป็นตัวละครใน ‘Love in the Time of Cholera’ นิยายชั้นเยี่ยมของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซหนึ่งในนักเขียนคนโปรดของผม จนกลายมาเป็นภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักผ่านมุมมองของไมค์ เนเวลล์ ซึ่งเคยมีผลงานดีๆ ผ่านมือมาแล้วหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Four Wedding and a Funeral, Mona Lisa Smile หรือ Harry Potter and The goblet of fire

ฟลอเรนติโนตกหลุมรักเฟอร์มินา (จิโอวานน่า เมซโซจิออโน่) ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อครั้งเขาและเธอยังเป็นหนุ่มสาว และนับจากนั้นเธอก็กลายเป็นทุกอย่างที่คงอยู่ในห้วงคิดคำนึง เธอและเขามอบความรักให้แก่กันอย่างลึกซึ้งแม้จะไม่ได้พบหน้ากัน โดยผ่านการโต้ตอบทางจดหมาย รวมถึงบทกวีและเสียงไวโอลินของชายหนุ่มเท่านั้น

ดูเหมือนเรื่องรักบทนี้จะดำเนินไปด้วยดี หากเสียแต่ว่าเขาและเธอกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในระดับของชนชั้นและฐานะ ชายหนุ่มเป็นเพียงพนักงานในสำนักงานไปรษณีย์ประจำเมือง ในขณะที่หญิงสาวเป็นถึงลูกของเศรษฐีเรือเดินสมุทร เมื่อพ่อของหญิงสาวทราบเรื่องที่ดูไม่คู่ควรและดูไม่เลิกราง่ายๆ เช่นนี้ พ่อจึงได้พาเฟอร์มิน่าหนีออกจากเมืองไปอยู่ที่อื่น เขาทั้งสองอยู่ห่างไกลกัน และแม้จะพร่ำเพ้อถึงกันอย่างไรก็ตาม วันหนึ่งหญิงสาวก็ผิดคำสัญญาไปแต่งงานกับชายที่เป็นถึงนายแพทย์ผู้รู้วิธีรักษาโรคอหิวาต์ที่กำลังระบาดคร่าชีวิตผู้คนอยู่ในขณะนั้น แต่ความรักต่อตัวเธอของฟลอเรนติโนก็ยังมั่นคงไม่เสื่อมคลาย สำหรับคนอื่น เพียงแค่การถอนใจกลับมาโอบกอดตัวเองเช่นเคยอาจเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วการได้รักหญิงสาวกลับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียวในชีวิตและเรื่องอื่นใดในชีวิตก็ไม่มีความสำคัญอันใด

ในขณะที่เวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้าคล้ายการคลานขยับของหอยทากบนพื้นซีเมนต์เย็นเยียบ ฟลอเรนติโนพยายามทุกวิถีทางที่จะลืมเธอ เขาจมลงไปสมสู่อยู่ในรสเพศของสาวแปลกหน้ามากมายโดยปราศจากความรัก แต่ยิ่งผ่านกายของหญิงสาวเท่าไร - จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย - เขากลับได้พบกับความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่า ไม่มีวันใดเลยที่เขาจะหยุดรักเธอ ชายหนุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเริ่มก้าวเข้ามามีหน้าตาและพื้นที่ยืนในสังคมโก้หรูและทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้สร้างโอกาสหรือถนนนำไปสู่ชีวิตของหญิงสาวได้

จนเมื่อเวลาผ่านไปห้าสิบเอ็ดปี เก้าเดือน สี่วัน เวลาที่ฟลอเรนติโนรอคอยมาแสนนานก็มาถึง สามีของเฟอร์มินาเสียชีวิตลง ฟลอเรนติโนจึงเกิดมีความหวังขึ้นอีกครั้งแม้ตนและเธอจะอยู่ในวัยชรา เขารีบรุดไปพบเฟอร์มินาทันทีที่ทราบข่าว และประกาศตัวอย่างมั่นคงว่า “ผมยังรักคุณไม่เปลี่ยนแปลง”

จากเรื่องราวของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ทำให้ใครหลายคนบนโลกเฝ้าภาวนาให้การรอคอยเกิดขึ้นน้อยที่สุด และขอให้ยิ่งน้อยลงไปอีกหากการรอคอยจะเกิดขึ้นกับความรัก แน่นอนว่ารวมทั้งตัวของผมเองด้วย

เพราะการรอคอยบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรักมักทรมาณหัวใจเสมอ...

-: เกลียด :-

ผมไม่ชอบ เสียงถอนใจ ไร้ความก้อง
แต่ก็เกลียด เสียงโห่ร้อง ไร้ความหมาย
ผมไม่ชอบ การยืนเปลี่ยว อย่างเดียวดาย
แต่ก็เกลียด ความมากมาย ของผู้คน

ผมไม่ชอบ การใส่ใจ ไม่ละเลย
แต่ก็เกลียด การนิ่งเฉย ไม่เคยสน
ผมไม่ชอบ รักยิ่งใหญ่ ปักใจตน
แต่ก็เกลียด ความเหงาล้น เมื่อขาดรัก...