12 October 2006

-: Ars Longa Vita Brevis :-

Ars Longa Vita Brevis

รูปภาพจาก Positioning Magazine
“Ars Longa Vita Brevis
ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น”

ภาพเขียนชุด “ไตรสูรย์” ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ถูกยกลงจากผนังของห้องแสดงภาพใจกลางมหานครนายก ปรากฏเพียงเป็นภาพของผนังสีขาวว่างเปล่า แสงไฟสีส้มจากโคมไฟสีเงินที่ยื่นตัวออกมาจากผนัง สาดส่องอดีตของรูปเขียน เผยให้เห็นถึงรอยด่างของฝุ่นที่เกิดจากการทับไว้โดยภาพเขียนชุดยิ่งใหญ่ของโลก ภาพเขียนเหล่านี้กำลังจะถูกขนย้ายเพื่อนำไปตรวจสอบที่ศูนย์กลางคัดสรรผลงานนอกรีต บริเวณถนนสีลมในกรุงเทพ พร้อมกับภาพเขียนอีกหลายชิ้นภายในห้องแสดงผลงานศิลปะเดียวกัน
“ห้องแสดงผลงานศิลปะแห่งสุดท้ายในประเทศไทย...”
ห้องแสดงผลงานศิลปะประกอบจากอาคาร 2 ชั้น แต่จากภายนอก ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะเห็นเป็นเพียงอาคารชั้นเดียว เนื่องด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคสมัยนี้ของพวกศิลปินนอกรีต และพ่อค้าของผิดกฎหมายที่ต้องการเป็นส่วนตัวจากการรบกวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซื่อสัตย์ และโอบอ้อมอารี โดยการฝังห้องเอาไว้ใต้ล่างของผืนดิน ห้องลับรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 50 ตารางวา มุดตัวอยู่ใจกลางมหานคร อันคับคั่งไปด้วยเพื่อนสิ่งก่อสร้างมากหน้าหลายตา เพียง 150 ปีที่ผ่านมานี้เมืองหลวงของประเทศไทยดูแปลกตาไปมาก นับจากการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพ มาอยู่ที่มหานครแห่งใหม่นี้

มหานครนายก พ.ศ. 2626.12(3)

Ars Longa Vita Brevis
ศิลปะ
ยืนยาว
ชีวิต
สั้น
!!!
ถ้อยวลีอมตะของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี หรือ คอร์ราโด เฟโรจี ( Professor Corrado Feroci ) ศิลปินชาวอิตาลีที่เข้ามาสร้างประโยชน์กับวงการศิลปะไทยตั้งแต่ยุคสมัยขององค์กษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ตามความต้องการของพระองค์ท่านที่ต้องการหาครูมาสอนช่างปั้นไทยให้สามารถในศิลปะ และวิทยาการอย่างโลกตะวันตก วางตัวผสมผสานกับรูปภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกยุคใหม่ “ศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยี” ตามที่ท่านผู้นำต้องการจะสื่อสารกับประชาชนทั่วไป บรรจุรวมกันอยู่ในโปสเตอร์ 16 ล้านสี ที่ถูกแปะเอาไว้เหนือชั้นหนังสือที่ใช้ลวงตาแทนกลไกเปิดประตูห้องลับของห้องแสดงภาพ
ห้องลับที่มีสัดส่วนทั้งความกว้าง ความยาว และความลึก กำลังบรรจุสิ่งมีชีวิต 2 ชีวิต ที่กำลังนั่งอยู่ภายใต้แสงไฟจากหลอดนีออนสีส้มสลัวๆ บนเพดาน ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่อยู่ถัดจากหลอดไฟไปเล็กน้อย เคลื่อนตัวไหลไปปะทะ และลูบไล้เพื่อนร่วมห้องทั่วทั้งห้องให้ได้รับความเย็นสบาย ภาพเบื้องล่างตรงส่วนกลางของห้องมีโต๊ะกระจกฐานเหล็กแบบอาร์ตนูโว* ที่สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 นั้นกำลังประดับไว้ให้โต๊ะดูมีคุณค่า และมีประโยชน์ขึ้นอย่างเต็มความสามารถของมัน ถัดไปเล็กน้อยตรงมุมห้องด้านขวามีชั้นวางหนังสือวรรณกรรมที่พิมพ์ด้วยกระดาษ 10 กว่าเล่ม และแผงรูปถ่ายขาวดำของรอดนีย์ สมิทธิ์ (Rodney Smith) ที่เกิดจากการถ่ายด้วยฟิล์มที่หาได้ยากยิ่งในยุคที่ดิจิตอลครองโลก ยุคเทคโนโลยีนิยม** และยุคที่กระดาษขาดแคลน เบื้องหลังของสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 มีภาพเขียน ภาพพิมพ์ และงานปูนปั้น อีก 2 ถึง 3 ชิ้นวางพิงกับกำแพงอยู่
“แล้วคุณจะเอายังไงต่อไปสมจอห์น ภาพเขียนชุดสุดท้ายที่พ่อคุณเก็บบำรุงรักษาไว้ รวมทั้งงานของพวกเราก็ถูกรัฐบาลขนเอาไปเกือบหมด เหลืออยู่ในห้องนี้อีกไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง” เพื่อนร่วมงานเพศชายของสมจอห์นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใสๆ โดยไม่ได้สัมผัสหยาดน้ำค้างแต่อย่างใด เจือปนด้วยละอองความเครียดเค้นในเส้นคอ ทำลายกลุ่มก้อนของความเงียบขนาด 0 เดซิเบล และเสียงครางของเครื่องปรับอากาศที่ปกคลุมอยู่ทั่ว ให้กระจัดกระจายออกไปตามซอกหลืบของห้องเกือบทั้งหมด
“งานศิลปะชิ้นที่ 27 ในรอบสามเดือนนี้แล้วนะ อีกไม่นานห้องแสดงภาพของเราคงต้องถูกสั่งปิด และงานศิลปะยุคเก่าทั้งหมดคงหมดไปจากประเทศไทยแน่ๆ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ” สมจอห์นกล่าวขึ้นเสียงเศร้า
เพื่อนชายของเขาลุกขึ้นเดินก้าวจากกลางห้องไปสู่มุมที่มีงานเขียนวางพิงอยู่ ก้มลงมองภาพเหมือนของซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) จิตรกรแนวเซอร์เรียลชาวสเปนที่โด่งดังในช่วงปีพ.ศ. 2530 “พวกเราเกิดมาเป็นศิลปินมันผิดตรงไหน? เรารักที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เรารักที่จะแสดงผลงานที่เรารักมันน่าอายนักมากเหรอไง? งานศิลปะยุคเก่าที่ใช้สองมือ กับจิตใจปั้นแต่งขึ้นมาแบบนี้มันไปถ่วงความเจริญของชาติบ้านเมืองตรงส่วนไหนว่ะ ส่วนภูมิภาคหรือไง?” เขาพูดขึ้นเสียงเบาคล้ายจะกระเซ้าเย้าแหย่แต่ดาลีเพียงคนเดียว ถ้าไม่บังเอิญสมจอห์นจะได้ยินเข้าด้วยอีกคน
“ใช่! ผมเบื่อกับกฎหมายเทคโนโลยีนิยมไอ้นโยบาย – ศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยี – ของท่านผู้นำจริงๆ ดูยังไงก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยโกหกคนทั้งเพ ปฏิบัติการลวงโลกเสียยิ่งกว่าการที่อเมริกาหลอกว่าเคยไปเหยียบดาวพลูโตมาแล้วเสียอีก” สมจอห์นกล่าวขึ้น พร้อมหยิบแผ่นใบปลิวเคลื่อนไหวพลาสติกใสขึ้นมาถือในมือ
ใบปลิวเคลื่อนไหวพลาสติกใสขนาด A4 ทำงานโดยการใช้แหล่งพลังงานกระตุ้นให้สารเคมีภายในแผ่นพลาสติกใสเกิดปฏิกิริยาเรืองแสงเข้าสู่ตาของคนอ่าน เกิดเป็นภาพ และตัวหนังสือขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทางรัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้สำหรับนักเขียนทั่วประเทศใช้ในการผลิตผลงานวรรณกรรมขึ้น โดยตั้งเป็นข้อกำหนดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว สำหรับผู้ที่ต้องการส่งผลงานชิงรางวัล SEA Write*** ที่ท่านพระยาประพันธ์ สีไร ฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลสาขาสยามประเทศที่หลงรักในงานเขียนจนได้รับบรรดาศักดิ์จากคุณงามความงามดีที่สร้างไว้ ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ก่อนตัวตายเพื่อต้องการให้สืบสานวงการวรรณกรรมต่อไปยังภายหน้า รวมไปถึงอีกหลาย 10 รางวัลวรรณกรรม โดยเก็บยึดกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้ทั้งหมดโดยกล่าวอ้างว่ากระดาษกำลังจะหมดโลก และต้องการให้งานวรรณกรรมของไทยมีคุณภาพทัดเทียมนานาอารยประเทศที่เจริญจำรัสจะได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนส่งตัวเองไปคว้าเอารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมมาประดับหน้าตาของประเทศกันบ้าง หรือเพียงแต่ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลิวูดเพียงตอนสั้นๆ ก็น่าชื่นใจ ใบปลิวเคลื่อนไหวในมือสมจอห์นกำลังแสดงภาพท่านผู้นำที่กำลังกล่าวโฆษณาชวนชอบถึงคุณลักษณะของภาพเขียนที่ดีสำหรับศิลปิน และนักศึกษาศิลปะรุ่นใหม่
- รูปเขียนต้องมีความละเอียด 10 ล้านเมกกะพิกเซลขึ้นไป
- ต้องใช้สีเกินกว่า 16 ล้านสี
- งานที่ดีต้องผ่านการวาดเขียน จากพู่กันไฟฟ้าที่มีความละเอียดสูง
- การสื่อสารต้องสื่อสารแต่แง่ของความศิวิไลซ์ ความรักชาติ และความทันสมัยเท่านั้น ห้ามสื่อสารถึง
สิ่งใดที่แสดงให้เห็นถึงความล้าหลังของประเทศ
- คุณสมบัติต่างๆ อาจมีการปรับขึ้นได้จากนี้ เมื่อเทคโนโลยีมีการปรับตัวสูงขึ้น
- งานที่นอกเหนือจากคุณสมบัติที่กำหนด หรือเป็นศิลปะยุคเก่าล้าสมัย จะต้องถูกนำไปตรวจสอบ เพื่อ
ตัดสินว่าผิดกฎหมายหรือไม่ และงานนอกรีตที่ผิดกฎหมายเหล่านี้จะต้องถูกทำลาย
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย!
- เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย!!
- ...
ศิลปะสั้นชีวิตยืนยาว!

“เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว! อยู่เฉยอย่างนี้ก็เหมือนรอคอยความพ่ายแพ้ไปวันๆ ผมจะปฏิวัติอีกครั้ง!! เพื่อศิลปะ เพื่อประเทศชาติ เพื่อพ่อของผม” สมจอห์นกวาดตามองไปที่งานศิลปะที่ห้องลับนี้พอจะมีเหลืออยู่ พลางนึกถึงพ่อผู้เป็นฮีโร่ของเขา พ่อของสมจอห์นเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ปฏิวัติล้มล้างระบบเทคโนโลยีนิยม หรือพรรคคอมมิวติสต์ (Communist + Artist) ซึ่งดำเนินนโยบายเก็บรวบรวม และสะสมงานศิลปะทุกแขนงที่เป็นศิลปะนอกรีตมาเก็บไว้ที่ห้องลับแห่งนี้ แล้วจัดแสดงผลงานศิลปะแห่งโลกเทคโนโลยีควบคู่กับผลงานที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผลงานนอกรีตไว้ในห้องแสดงผลงานบนดินเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
พ่อของสมจอห์นมักกล่าวกับเขาบ่อยครั้งว่าระบบเทคโนโลยีนิยมเป็นระบบที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในหมู่ประชาชน พ่อของสมจอห์นเชื่อว่าคุณค่าของมนุษย์นั้นอยู่ที่ผลงานศิลปะ มนุษย์จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เมื่อได้ทำงานที่มีลักษณะสร้างสรรค์ แต่ในระบบเทคโนโลยีนิยมนั้น แรงงานของมนุษย์กลายเป็นสินค้าที่ถูกซื้อขายกันในท้องตลาด มนุษย์ทำงานเป็นเหมือนเครื่องจักรไม่มีลักษณะที่สร้างสรรค์แต่อย่างใด**** โดยพ่อของสมจอห์นจะใช้บริเวณห้องแสดงผลงานของชั้นบนดินในการประชุม และวางแผนทั่วไป มีเพียงเพื่อนสนิทของพ่อไม่กี่คนที่รู้จักห้องลับแห่งนี้ จนงานศิลปะมากมายถูกรวบรวมได้จำนวนพอสมควร พร้อมกับสมัครพรรคพวกศิลปินในแขนงต่างๆ ในที่สุด... โอกาสที่จะประกาศการปฏิวัติก็ใกล้จะเข้ามาถึง

“คุณไม่กลัวหรือสมจอห์น พ่อคุณก็เคยถูกจับเนรเทศออกนอกประเทศไปก็เพราะตั้งตนขึ้นเป็นแกนนำกลุ่มคอมมิวติสต์นะ คุณลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของคุณต้องทุกข์ทรมานเพียงใดที่อิตาลี” ภาพของพ่อที่กำลังตรากตรำทำงานหนักในอิตาลีปรากฏขึ้นท่ามกลางความคิดมากมายของสมจอห์น จดหมายทุกๆ ฉบับ รูปถ่ายทุกๆ รูปของพ่อที่แสดงให้เห็นถึงช่วงชีวิตอันแสนสาหัสจนร่างกายซูบผอมมีเพียงแผ่นหนังคลุมทับชิดติดกระดูก ไม่ใช่เพราะอาหารอิตาลีไม่ถูกปาก เขาไม่เชื่ออย่างนั้น!พ่อเคยบอกกับเขาว่าพ่อชอบกินพิซซ่า และลาซานย่าเป็นที่สุด พ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายปีจนในที่สุดก็เสียชีวิตลง สมจอห์นจำวันนั้นได้สนิทใจไม่เคยลืมเลือน เมื่อเพื่อนสนิทของเขาที่เรียนศิลปะอยู่ที่เมืองใกล้ๆ โทรศัพท์มาแจ้งข่าว วันที่สมจอห์นได้รับปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตพอดิบพอดี
“พ่อ และเพื่อนๆ พลาดเพราะไว้ใจคนอื่นมากเกินไป จนนำงานศิลปะที่สำคัญหลายชิ้นขึ้นไปแสดงในห้องแสดงผลงานด้านบนจนเกือบหมด และในวันประชุมสมาชิกพรรคก่อนการปฏิวัติจะเริ่มขึ้นเพียงวันเดียวพ่อถูกหักหลังจากคนใน งานดีๆ หลายชิ้นถูกทำลาย และพรรคคอมมิวติสต์ก็ต้องจบสิ้นลงหลังจากวันนั้น ผมจะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับผมแน่ อย่างน้อยห้องลับแห่งนี้ก็มีแต่ผมกับคุณเท่านั้นที่รู้...”

มุมด้านหนึ่งของห้องลับแขวนประดับไว้ด้วยพรมลายไทยขนาด 2.5 คูณ 1 เมตร ในกรอบไม้ปิดป้องด้วยกระจกใสอย่างดี วางประดับผนังไว้ถัดจากรูปเขียนอื่นๆ จนดูคล้ายเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นใหญ่ธรรมดาเพียงชิ้นหนึ่ง สมจอห์นเดินตรงเข้ามาที่กรอบบรรจุพรม ยกขาขึ้นเตะมุมซ้ายล่างของกรอบจนทำให้กรอบพรมแถบด้านซ้ายเผยอตัวออกมาคล้ายบานประตูที่ถูกผลักออก เห็นเป็นส่วนของผนังที่เว้าเข้าไปเกิดเป็นห้องขนาดเล็ก
ภายในห้องมีโต๊ะไม้โบราณตั้งแต่ปี 2547 วางอยู่ในลักษณะของห้องทำงาน 3 ถึง 4 ตัว กั้นเป็นคอกๆ ด้วยฉากไม้ และกระจกใส เผยให้เห็นส่วนมุมของโต๊ะตัวใหญ่ด้านในสุดแลบออกมาจากพื้นที่ส่วนตัว สมจอห์นเดินนำเพื่อนร่วมงานเพศชายของเขาเข้ามาสู่บริเวณห้องขนาดเล็กนี้ ก้าวตรงมุ่งหน้าเข้าไปยังโต๊ะไม้ตัวในสุด ทุกก้าวที่สมจอห์นขยับเข้าใกล้โต๊ะ เหลี่ยมและมุมเผยให้เขาเห็นภาพกรอบรูปสีน้ำตาลที่อาศัยอยู่บนโต๊ะทำงานตัวนั้นครบถ้วน และชัดเจนขึ้น พ่อและเขาอาศัยอยู่ในกรอบรูปนั้น
“ที่นี่คือ?”
“…โต๊ะทำงานของพ่อผม ผมไม่เคยพาคุณมาที่นี่เลย แปลกใจใช่ไหม? ผมว่าคุณพ่อน่าจะมีบันทึกอะไรที่ยังหลงเหลือจากการปฏิวัติครั้งแรกเก็บซ่อนอยู่ภายในบริเวณนี้บ้าง” สมจอห์นพูดพลางใช้มือดันตัวของเพื่อนให้เดินเข้าสู่ด้านหลังของตัวโต๊ะ พลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณคอกเล็กๆ อันเคยเป็นสมบัติสถานส่วนตัวของอดีตหัวหน้ากลุ่มคณะปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล ของหลายอย่างยังคงถูกจัดวางอย่างเป็นสัดส่วน และมีระเบียบเรียบร้อยอย่างที่มันควรจะเป็น สมจอห์นเริ่มรื้อค้นของบนโต๊ะอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งหลงหูหลงตาไป เพื่อนชายของเขาขยับกายเขยื้อนเขยิบเข้าสู่ประตูลิ้นชักของโต๊ะ
ของบนโต๊ะส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหนังสือตำราศิลปะเล่มโต บางเล่มถูกเก็บรักษาอย่างดีเป็นเวลากว่าร้อยปี ที่เก่ากว่านั้นส่วนใหญ่จะถูก Staff แล้วเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อีกส่วนหนึ่งที่มีเนื้อหาผิดแผกแปลกแยกจากวิสัยเทคโนโลยีนิยมก็กลายเป็นเพียงฝุ่นละอองของขยะที่เกิดจากการกำจัดของหน่วยคัดสรรผลงานนอกรีต
“ผมเปิดมันไม่ได้!” สมจอห์นเบนความสนใจมาที่ต้นเสียง ที่กำลังพยายามกระชากประตูลิ้นชัก เขย่าขึ้นลงเพื่อหาทางเลื่อนเอาสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาปะทะสายตาสองคู่ด้านนอก
“มันล็อค! และเท่าที่เห็นก่อนหน้านี้ทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะ และบริเวณนี้เป็นระเบียบมากเกินไป ผมว่ามันไม่ธรรมชาติ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าไม่เคยมีใครมายุ่งวุ่นวายแถวๆ นี้”
“นอกจากบ้าน... พ่อก็อาศัยห้องลับของตึกหลังนี้เป็นที่ซุกหัวนอนมาตลอดชีวิตของพ่อในขณะที่อยู่เมืองไทย มีน้อยคนนักที่จะรู้จักที่ห้องลับแห่งนี้ และน้อยคนนักที่จะรู้จักห้องลับลับหลังกรอบพรมนั้นอีกที และของที่เป็นระเบียบเกินไปนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี พ่อผมเป็นคนเจ้าระเบียบแม้มีดินสอเพียงด้ามเดียวขยับออกจากที่ที่มันเคยวางอยู่ คุณพ่อก็จะรู้”
“แล้วเป็นไปได้หรือ? ว่าจะไม่มีใคร หรืออย่างน้อยก็ตัวคุณไม่เคยแวะเวียนมาแถวห้องลับลับนี้เลยตลอดหลายปีที่พ่อคุณถูกเนรเทศ”
“ใครว่าผมไม่เคยมายุ่งแถวนี้หล่ะ... นี่ไงกุญแจ!” สมจอห์นชูกุญแจทองเหลือง ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในแจกันบนโต๊ะทำงาน
“อยู่นี่ไง กุญแจที่จะอาจจะช่วยไขความลับทุกอย่างในการปฏิวัติ กุญแจที่น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของพวกเรา มันถูกซ่อนอยู่ในแจกันใต้จมูกเรานี่เอง เคยได้ยินไหมหล่ะ ที่ๆ อันตรายที่สุด คือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด...”
“แต่ว่ามันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ มันอาจจะเป็นอุบายของใครบางคนก็ได้นะ”
“มองอะไรให้มันยากเกินไปหรือเปล่า? ชีวิตนี้มันง่ายกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ!”
“แกร๊ก!!” เสียงลั่นกุญแจดังขึ้นกระตุ้นต่อมความตื่นเต้นที่กำลังเต้นแรงอยู่แล้วของทั้งคู่ให้เต้นแรงยิ่งขึ้น
“อ่ะ! นั่นไงเปิดได้แล้ว...” สมจอห์นหยิบของข้างในชิ้นหนึ่งส่งให้เพื่อนร่วมงานเพศชายของเขา “คุณช่วยเอาเอกสารในแฟ้มนี้ไปเปิดดูหน่อยละกัน ผมจะจัดการกับที่เหลือเอง”
ทั้งคู่พากันเดินออกมาที่โต๊ะกระจกฐานโลหะกลางบริเวณห้องลับที่เคยนั่งอยู่ตอนแรก สมจอห์นทำการรื้อค้นภายในลิ้นชักที่ดึงถอดออกมาจากโต๊ะไม้
“เราเจอกับอะไรบ้างเนี่ย ประวัติศาสตร์การปฏิวัติ, ศิลปะสมัยเทคโนโลยีเก่า, คู่มือ Photoshop! ฮ่า! โปรแกรมโบราณแบบนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้างไหม”
“สมจอห์นผมว่าคุณควรดูอะไรนี่หน่อย!”
“รายชื่อผู้เข้าร่วมปฏิวัติครั้งก่อน! รายงานการประชุม!! และแผนผังอาคารทำเนียบรัฐบาล!!!”

แผนผังทำเนียบรัฐบาลถูกเขียนขึ้นบนกระดาษร้อยปอนด์ 190 แกรม ขนาด 56x76 ซ.ม. มีรอยบอบช้ำคล้ายถูกหยิบใช้ผ่านมือมาอย่างโชกโชน รวมไปถึงความเก่าที่ถูกระยะเวลาช่วยซ้ำให้รอยเหล่านั้นแจ่มชัดขึ้น
ภายในกระดาษมีร่องรอยน้ำหมึกที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของอาคารตั้งแต่ชั้น1 ถึงชั้นบนสุด รวมไปถึงอุโมงค์ใต้ดินที่ทะลุเข้าห้องเก็บของที่ไม่มีใครล่วงรู้
“พ่อและกลุ่มเพื่อนๆ บางคนช่วยกันสร้างอุโมงค์ลับจากห้องลับลับหลังกรอบพรม ตรงยาวถึงทำเนียบรัฐบาล และร่วมมือกับแฮกเกอร์ที่รักในงานศิลปะช่วยกันตัดระบบเตือนภัยภายในอาคาร มิน่าหล่ะหลายปีก่อนพ่อถูกเนรเทศ ท่านขลุกตัวอยู่แต่ในห้องลับนี้เป็นประจำ เอกสารเหล่านี้ช่วยเราได้มากเลย จากนี้ผมกับคุณช่วยกันสานต่อภารกิจของพ่อ แค่เราเข้าสามารถบุกเข้าไปถึงห้องทำงานของท่านผู้นำได้ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นสีชมพู” สมจอห์นคิดไปถึงวันที่การปฏิวัติสำเร็จและเสร็จสิ้นลง โลกของเขาคงเป็นสีชมพูโดยไม่ได้ตาบอดสี
“คุณช่วยดูรายชื่อของผู้เข้าร่วมคณะปฏิวัติทั้งหมด แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะเริ่มส่งข่าวให้กับบางคนที่น่าจะร่วมมือกับเรา และไว้ใจได้”
“ฮะฮ้า! ขอบใจมากสมจอห์นเพื่อนรัก คุณ และเอกสารเหล่านี้ช่วยเราได้มากอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วย ผมนึกไม่ถึงเลยว่าพ่อของคุณเลือกวิธีการขุดอุโมงค์ ที่พวกโจรปล้นธนาคารใช้กันในยุคศตวรรษที่ 20 เชย! แต่ก็ใช้ได้ผลมานักต่อนักแล้ว พวกเรามัวแต่ป้องกันกันแต่บนฟ้า และภาคพื้นดิน พ่อของคุณนี่มาเหนือเมฆจริงๆ ไม่ใช่สิต้องพูดว่ามาใต้ดินถึงจะถูก” เพื่อนของสมจอห์นยิ้มระรื่น แล้วกระชากหัวเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติทั้งหมดที่ยังหลงเหลือในมือของสมจอห์นเข้ามาอยู่ในครอบครองของตนเองทั้งหมด
“เรา? คุณหมายถึง?”
“อย่างที่คุณคิดนะแหล่ะสมจอห์น ผมร้อยตำรวจเอกประชาเป็นสายลับของหน่วยคัดสรรผลงานนอกรีตปลอมตัวมา สำหรับการปฏิวัติครั้งนี้ของคุณ ผมเองที่เป็นหนอนบ่อนไส้ คุณไว้ใจเพื่อนมากเกินไปเหมือนพ่อของคุณจริงๆ น่าสมเพศ พ่อของคุณที่ตายไป คงจะโง่ไม่ต่างจากคุณตอนนี้เลย ฮ่าๆ ”
สมจอห์นถูกบังคับให้ขึ้นไปบริเวณส่วนของห้องแสดงงานศิลปะ ประชากำลังจะนำตัวเขาไปยังสถานีตำรวจข้อหาคิดกบฏต่อประเทศ ในขณะเดียวกันที่บุคคลที่มีชื่ออยู่ในรายชื่อคณะปฏิวัติครั้งก่อน 5-6 คนกรูเข้ามาภายในห้องแสดงงานศิลปะ และจ่อปืนขึ้นไปยังทั้งคู่
“มันจบลงแล้วจริงๆ ประชา” สมจอห์นส่ายหน้าช้าๆ “ผมเสียใจกับคุณจริงๆ การปฏิวัติจบลงแล้ว แต่จบลงด้วยความสำเร็จ!”
“พวกเรา ลงมือก่อการปฏิวัติไปแล้วก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะมาเอาภาพเขียนชุดไตรสูรย์ไป และตอนนี้ก็สำเร็จลงไปแล้ว ผมเสียใจด้วยนะประชา คุณคิดว่าชีวิตมันง่ายอย่างที่ผมพูดจริงๆ หรือ คุณตกหลุมแม้กระทั่งแผนผังโครงสร้างอาคารที่ทำขึ้นมาจากโปรแกรมโบราณอย่าง Photoshop และทำให้มันดูเก่าลงแค่นั้น คุณตกหลุมแม้กระทั่งกุญแจในแจกัน ผมว่าผมคิดตื้นๆ แล้วนะ กุญแจในแจกัน หลายปีที่ผ่านมาสนิมไม่ขึ้นหมดเหรอ แต่คุณก็เชื่ออย่างเต็มเปา” สมจอห์นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “ผมและกลุ่มผู้ปฏิวัติระแคะระคายคุณมาตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณแสดงตัวว่าเป็นศิลปิน แล้วมาร่วมมือกับผมเล้ว ผมถามจริงๆ เถอะ ผมยังไม่เคยเห็นงานศิลปะจริงๆ ของคุณแม้แต่ชิ้นเดียว ศิลปินหน่ะไม่ใช่แค่บอกว่าตัวข้าเป็น แต่ไม่เคยผลิตผลงานอะไรออกมาหรอกนะ พวกเราทุกคนรักที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะ ไม่ใช่เอาแต่คิดวิเคราะห์อย่างที่คุณแสดงออกมาตลอดเวลา อยากดูข่าวการปฏิวัติหน่อยไหม? ฮ่าๆๆ ห้องลับมันไม่มีทีวีให้คุณดูมานานแล้วซินะ หมกตัวตามผมแจอย่างนั้น”

ภาพเขียนชุด “ไตรสูรย์” ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ถูกยกขึ้นสู่ผนังของห้องแสดงภาพใจกลางมหานครนายก ปรากฏให้เห็นเป็นภาพของผนังสีขาวสลับกับภาพเขียนสวยสดงดงาม แสงไฟสีส้มจากโคมไฟสีเงินที่ยื่นตัวออกมาจากผนัง สาดส่องปัจจุบันกาล และอนาคตกาลของรูปเขียน ปกปิดรอยด่างของฝุ่นโดยการวางทับไว้โดยภาพเขียนชุดยิ่งใหญ่ของโลก ภาพเขียนดูสวยงามจนคล้ายจะยืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจในตัวมันเอง
พร้อมกับภาพเขียน งานปั้น งานวรรณกรรม งานดนตรี ฯลฯ นับร้อยกว่าชิ้นที่รอดจากการถูกทำลาย ส่งกระจายไปทั่วประเทศ

มหานครนายก พ.ศ. 2626.12(3(3(3)))

น้ำเสียงหวานฉ่ำแต่บาดคมของทรัมเปตขับกล่อมทั่วบริเวณอาคาร “และแล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้!” น้ำตาของสมจอห์นเอ่อล้นลงมากองที่ขอบตานึกไปว่าถ้าวันนี้พ่อของเขายังคงอยู่ คงจะได้ร่วมในงานเปิดห้องแสดงงานศิลปะในครั้งนี้เป็นแน่ และพ่อจะต้องมีความสุขจนน้ำตาเอ่อล้นออกมาที่ขอบตาอย่างเขาในวันนี้ไม่ผิดแผก
สมจอห์นกวาดสายตาทั้วบริเวณทางเข้า น้ำเสียงของทรัมเปตในกำมือของผู้ชายที่ชื่อคริส บ็อตติ (Chris Botti) ยังสอดประสานรับกับเสียงเปียโนอย่างเป็นกันเอง และคล้ายจะหลอกล้อกับสมจอห์น เขาเลือกที่จะเล่นเพลง What’s New ของบ็อตติเพื่อสื่อความหมายถึงความใหม่ และความหวังที่จะตามมาหลังจากวันคืนอันโหดร้าย และอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวของความคิดอิสระ เจตจำนงเสรี (free will) ของผองเพื่อนที่ถูกกดทับมาเนิ่นนานตลอดช่วงการปกครองที่ผ่านมา ฟ้าจะใสหลังฝนตก หาดทรายจะขาวหลังถูกคลื่นยักษ์ซัดถล่มเป็นแน่พ่อเคยบอกกับเขา
ประตูห้องแสดงภาพถูกเปิดออกแล้ว ในช่วงห้วงสุดท้ายของเสียงทรัมเปตจบลงพอดิบพอดี เสียงเพลงมหาชัยขับขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแห่งสถานที่ และความฝันของศิลปิน ช่วยให้งานเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ของวงการศิลปะดูครึกครื้นขึ้นบ้าง ชั่วอึดใจผู้ชายและผู้หญิง 2 ถึง 3 คนพากันเดินเข้าสู่ภายในบริเวณ...



----------------------------------------------------------------------------------------------
* อาร์ตนูโว (Art Nuveau) ศิลปะที่แสดงความเคลื่อนไหว (free flowing movement) ก่อให้เกิดความ มีชีวิตชีวา และความเสน่หา
** เทคโนโลยีนิยม ดัดแปลงมาจากรัฐนิยม สมัยท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม
*** SEA Write มาจาก Southeast Asian Writers' Award หมายถึง รางวัลวรรณกรรมที่มอบ ให้แก่ นักเขียน 10 ประเทศอาเซียน มีที่มาจากฝ่ายบริหารของโรงแรมโอเรียนเต็ลจริง โดยทางโรงแรมมีประวัติเกี่ยวข้องกับนักเขียนชั้นนำของโลกหลายต่อหลายคน และหลายต่อหลายยุคสมัยจะเห็นได้จากการที่จัดส่วนหนึ่งเป็น " ตึกนักเขียน" (Authors' Residence) ที่ประกอบด้วยห้องชุดพิเศษ โดยใช้ชื่อนักเขียนโด่งดังหลายคนที่เคยมาพักเป็นชื่อห้อง ท่านพระยาประพันธ์ สีไร ไม่เคยมีตัวตนจริงในโลกใบนี้ หรืออาจมี?
**** คอมมิวติสต์ ดัดแปลงมาจากแนวความคิดคอมมิวนิสต์ของลัทธิมาร์กซ